Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

เป็นเรื่องสมมุติ แต่อยากทราบการตัดสินใจ?

ถ้าคุณเป็นคนสุดท้ายของตระกูล แต่คุณมีโรคทางพันธุกรรมบกพร่อง คือเมืออายุประมาณ 40 ปี ขึ้นไป สายตาคุณจะเสื่อมสภาพ จนกระทั่งตาบอด ซึ่งคนในตระกูลเป็นทุกรุ่น และทุกคน มีคนแนะนำว่าให้ทำหมันเพื่อปกป้องการมีบุตร (หยุดสายเลือดที่มีปัญญาที่คุณ) คุณจะทำอย่างไร ทำหรือไม่ทำหมัน ทั้งที่คุณกำลังจะแต่งงาน

คือไปอ่านหนังสือเจอ

ถ้าเป็นตัวเองคงไม่ทำ เพราะใช่ว่า การตาบอดจะทำให้หมดความเป็นคน ทำไมต้องปิดโอกาสเรื่องของอนาคต

10 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    ถ้าเป็นผม ก็คงไม่ทำเช่นเดียวกันครับ แต่ก่อนที่จะมีลูก ก็ควร ปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีป้องกัน หรือทางออกเพื่อจะแก้ปัญหานี้ ไม่ให้เกิดปัญหาต่อทายาท ที่จะสืบเชื้อสายต่อไป แต่สุดท้าย ถ้าไม่มีทางแก้ไขจริง ๆ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวรกรรม เถอะครับ อีกอย่าง กว่าจะตาบอด ก้อ ต้องอายุ 40 ปี ขึ้นไป ยังมีเวลาที่จะทำประโยชน์ต่อสังคมได้อีกเยอะ ถึงจะตาบอด แต่ก็อาจมีคุณค่ามากกว่าคนตาดีที่ไม่เคยทำประโยชน์ต่อสังคมอีกมากมาย แหละครับ

    แหล่งข้อมูล: ตามความคิดตัวเอง ครับ
  • e-nai
    Lv 6
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    การที่เรามีโรคทางพันธุกรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าคู่ของเราเป็นเหมือนเรา ลูกที่เกิด��¸¡à¸²à¸­à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸•à¸²à¹„ม่บอดเหมือนอีกฝ่ายหนึ่ง อาจจะมีแค่พันธุกรรมแฝง สมัยนี้วิทยาการก้าวหน้าไปมากอาจจะต้องพึ่งพาวิทยาศาสตร์ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ดู เช่น ถ้าอยากจะมีลูกที่ไม่ตาบอดก็ต้องคัดdnaตัดคู่ที่บกพร่องออกไป หาหนทางหลายๆ วิธีอันไหนทำได้ก็ลองทำ ถ้าใจสู้ไม่ปิดโอกาสตัวเอง

    แต่ถ้าไม่อยากปวดหัวคิดมากและเป็นทุกข์ ก็อยู่คนเดียวไม่ต้องแต่งงานเหมือนพระจะได้พ้นทุกข์

    แต่คนตาบอดไม่ใช่คนไร้ค่า ค่าของคนไม่ได้อยู่แค่ตาพิการ คนตาบอดสามารถทำอะไรได้ดีกว่าคนตาดีมีเยอะแยะ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ขอยกเลิกการแต่งงานที่จะมีขึ้นโดยให้เหตุผลดังกล่าว

    เวลาที่เหลือหาทางซ่อมตัวเองจนมั่นใจได้ว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบคนอื่นแล้วค่อยสร้างเจนเนอเรชั่นต่อไปครับ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ถ้าเป็นตัวเอง คงจะทำหมันนะ ถึงเราตาบอดแต่ยังเป็นคนก็จริง แต่อย่าลืมว่าแล้วเราไม่คิดบ้างหรือว่าการที่ทำให้คนที่เกิดมาต้องตาบอดในอนาคตจะเป็นยังไง อย่าลืมว่าบางคนรับไม่ได้นะ แล้วบางคนก็รู้สึกท้อแท้ที่เป็นภาระคนอื่น เราอาจเข้มแข็ง แต่แน่ใจได้ยังไงว่าลูกหลานเราจะเข้มแข็งเหมือนกัน

    การแต่งงานไม่ใช่สาเหต แต่งงานไม่มีลูกก็ได้ ก็มีความสุขกัน 2 คน แล้วเรามีความสุขกับสิ่งที่เราเลือก แล้วทำไมถึงคิดว่าเค้าอยากจะเกิดมาเพื่อสักวันต้องตาบอดด้วยหละ

    ต่างคนก็ต่างจิตต่างใจ การหมดสิ้นตระกูลก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบสิ้นเมื่อไหร่ ถ้าเราทำดี ความดีก็ยังอยู่

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ถ้าเป็นตัวเอง ถ้าทราบก่อนแต่งงาน ก็จะพูดคุยปัญหานี้กับคู่ของเรา ว่าเค้ามีความคิดเห็นอย่างไร และคาดหวังอย่างไร ต่อการสืบทาà��¢à¸²à¸— ถ้าเค้ายืนยันว่าจะมีทายาท แต่ก็กังวลปัญหานี้ คิดว่าเราทั้งคู่ควรตกลงใจเปลี่ยนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และตัวเองถ้าแน่ใจว่าหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ไม่ได้ ก็จะไม่มีทายาทสืบต่อไป ให้เป็นภาระต่อสังคม และชีวิตใหม่ที่เกิดมา ก็ต้องประสบชะตากรรม ที่เรารู้ล่วงหน้า ควรหยุดเพียงแค่นี้ เพราะการมีชีวิต ยังมีปัจจัยด้านอื่นอีกมากมาย ความเป็นมนุษย์ ไม่น่าจะจบสิ้นเพราะการไม่มีทายาทนะคะ

  • ^0^!!ทำค่ะ เพราะในเเง่ของวิทยาศาสตร์ เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าลูกของเราที่จะเกิดมาต้องตาบอด เหมือนเรา เราจะไม่ทำให้ลูกต้องลำบาก เราไม่รู้ว่าเขาจะเข้มเเข็งอดทนได้เหมือนคนตาบอดคนอื่นที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้หรือไม่ เราไม่รังเกียจคนตาบอดแต่เราไม่อยากสร้างหรือทำร้ายเขาในเมื่อเรารู้อยู่ว่าปัญหามันต้��¸­à¸‡à¹€à¸à¸´à¸” ให้เขาไปเกิดกับพ่อแม่ที่สมบูรณ์จะดีที่สุด

    ตัวอย่างเรื่องจริงที่เกิดกับเด็กปกติธรรมดา เด็กอนุบาลไปเที่ยวบ้านเพื่อนเห็นบ้านเขามีสนามหญ้า บ้านใหญ่โต แต่เด็กคนนี้อยู่บ้านเช่า เขากลับมาถามแม่ว่า คุณแม่ขา ทำไมเราไม่มีบ้านบ้านเราไม่มีสนามหญ้าเหมือนบ้านเขาล่ะค่ะ แม่ตอบว่าเพราะเราจนต้องเอาเงินมาเลี้ยงลูก เด็กเขาถามกลับมาว่า แล้วทำไมคุณแม่คุณพ่อไม่หาบ้านไว้ก่อนที่จะมีหนูเกิดมาล่ะคะ คุณแม่ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเพราะคุณแม่ตั้งแต่เด็กก็อยู่บ้านเช่ามาตลอด นี่จุดประกายความคิดของคุณแม่ต้องหาบ้านที่เป็นของตัวเองให้ได้ เพราะเด็กตัวแค่นี้ยังรู้จักคิดวางเเผนอนาคตได้แล้ว ผู้ใหญ่เองกลับไม่คิดปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม

  • ?
    Lv 5
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ผมจะไปตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมสองคน เพื่อขอฟังความเห็นจากแพทย์อย่างà��à¸™à¹ˆà¸™à¸­à¸™à¸à¹ˆà¸­à¸™ และจะพยายามหาทางป้องกัน ถ้าป้องกันไม่ได้แน่นอนก็อีกเรื่อง แต่จะไม่กังวลอะไรตราบที่ผลการตรวจของแพทย์ยังไม่ออกมา

    ในกรณีแย่ที่สุดคือเป็นแน่นอนแล้ว ผมก็แค่ไม่แต่งงาน เพราะผมไม่อยากให้คนที่ผมรักต้องมาลำบากกับการที่ผมเป็นคนตาบอดในยามแก่เฒ่า แต่จะเร่งทำงานหาเงินและทำประกันออมทรัพย์ไว้เพื่อเลี้ยงชีพยามแก่เฒ่า

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    มองทุกสิ่งอย่างจดจำ เริ่มหัดเดินหลับตาบ้างจะได้ชินในวันที่มองไม่เห็น คุยกันกับแฟน ว่าหูชั้นจะดีเลิศ เพื่อชดเชยตาที่บอด ขอให้คุณพบคนดีๆนะ ชั้นอยู่เองได้สบายมาก ถ้าคุณยังอยู่จะอึดอัดใจที่ต้องกลายเป็นภาระ

    เรื่งลูกจบไปเลย ในเมื่องานก็ไม่แต่ง นึกถึงหลักความจริงค่ะ ตัวเองจะเอาให้รอดก็ลำบากแล้ว จะไปสร้างอีกหนึ่งขึ้นมาทำไม เขาอาจไม่อยากเกิดในสภาพนี้ก็ได้ ตาบอดก็คนแต่เป็นคนที่มองไม่เห็น

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    เข้าไปปรึกษาแพทย์ก่อนดีกว่า แจ้งแพทย์เกี่ยวกับการมีพันธุกรรมบกพร่องด้วย อาจจะต้องตรวจเลือดเพื่อเช็คอื่นๆอีก หากคุณกำลังจะแต่งงาน วางแผนแต่งงานไปในตัว แพทย์จะได้แนะนำอาหารการกิน หรือจะบอกวิธีให้ บางครั้งคนหนึ่งเป็นแต่อีกคนไม่เป็นมีลูกลูกอาจไม่เป็นก็ได้ ถ้าที่ดีที่สุดไปพบแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ อย่ามานั่งคิดให้ปวดหัวเลยนะคะ

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    การป้องกันการมีบุตรน่าจะเป็นทางออกที่ดิฉันเลือกเพราะถ้าเป็นมาทุกคนในตระกูล แรงกดดันที่มีต่อตัวเราเวลานั้นควรจบลงได้ที่เราเป็นคนสุดท้าย แต่จะไม่ท้อและปล่อยโอกาสเพราะความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มีให้เห็นอยู่ค่ะ

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้