Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

อาการไอ แล้วเจ็บหน้าอก เป็นเพราะอะไร?

เคยไอ แล้วเจ็บบริเวณท้อง แต่คราวนี้ทำไมเจ็บบริเวณ อก

4 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • Toy C
    Lv 6
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    เคยเป็นเหมือนกันนะคะ รู้สึกตอนนั้นน่าจะมีเสมหะมาก เวลาไอเลยมีเสียงแบบน่ากลัวมากเลยค่ะ ไอก็เจ็บตรงช่วงใต้คอลงไป เวลาหายใจเข้าแรงๆก็เจ็บค่ะ แต่ตอนนั้นพอหายไแก็หายเจ็บไปเลยค่ะ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    เวลาไออาการรุนแรงก็เคยเป็นเหมือนกัน เจ็บหน้าท้องและอก แต่ทางที่ดีควรหาหมอให้หมดตรวจดูให้ดีดีกว่า

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ไอเรื้อรัง……อาการที่ควรต้องหาสาเหตุ

    12345( 13 Votes )

    ทุกคนคงเคยไอมาแล้วที่พบบ่อย ก็คือ อาการไอหลังจากที่เป็นไข้หวัด หรือหลังการสำลัก แต่อาการไอที่พบในผู้ป่วยพวกนี้จะไม่อยู่นาน เป็นนานๆ ที หรืออย่างมากก็เป็นวัน หลังจากนั้นก็จะหายไป มีน้อยรายที่หลังจากเป็นไข้หวัดแล้วมีอาการไอนานหลายอาทิตย์ ซึ่งเป็นผลจากการที่รักษาอาการไข้หวัดไม่ดีพอ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีการพักผ่อนที่ไม่พียงพอ การพูดก็จะทำให้อาการไอเพิ่มมากขึ้น

    อาการไอเรื้อรังทั่วๆ ไปถือว่าไอเป็นเวลาติดต่อกันนานไม่น้อยกว่า 3 อาทิตย์ สาเหตุของการไอเรื้อรังนั้นอาจจะเป็นจากโรคที่ไม่รุนแรงก็ได้ เช่นอาการไอเรื้อรังหลังจากการที่เป็นไข้หวัดตามที่กล่าวมา หรืออาจจะเป็นอาการของโรคที่รุนแรง เช่น วัณโรคปอด หรือมะเร็งของปอดเป็นต้น ดังนั้นผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง ไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลย ควรหาสาเหตุว่าไอจากอะไรก่อนที่จะเป็นการสายเกินไป

    ผู้ป่วยจริงๆ แล้วแทบจะไม่มีอาการอะไรเลย

    มีอาการไอเล็กน้อย มาหาแพทย์จึงได้เอ็กซ์เรย์

    พบว่ามีก้อนในปอดข้างขวา

    ตอนหลังพิสูจน์ได้ว่าเป็นมะเร็งของปอด

    ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดและอาการดีขึ้น

    ผู้ป่วยเป็นวัณโรคระยะติดต่อ และเป็นมาก

    ปอดทั้งสองข้างถูกทำลายเป็นบางส่วน

    ผู้ป่วยมาหาแพทย์เพราะเรื่องอื่น แต่พอเอ็กซ์เรย์พบ

    จึงได้ถามอาการ ผู้ป่วยยอมรับว่ามีอาการไอบ้าง

    แต่ไม่รู้สึกอะไร ยังคงดำรงชีวิตตามปกติ

    การไอคืออะไร

    ออกซิเจนจากอากาศเข้าไปสู่ปอดตามลมหายใจเข้า และเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อให้เลือดนำออกซิเจนนั้นไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ใช้ ในปฏิกิริยาเผาผลาญอาหารเพื่อสร้างเป็นพลังงาน นอกจากนั้นแล้วยังนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการเผาไหม้อาหาร กลับมายังปอดและต้องขับถ่ายออกจากร่างกายทางลมหายใจออก เพราะถ้าสะสมอยูในร่างกายจะทำให้เกิดภาวะกรดเกินเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

    The Human respiratory system =

    ระบบทางเดินหายใจในคนปกติ

    Nasal passage = โพรงจมูก

    Oral Cavity = ช่องปาก

    Pharynx = ลำคอส่วนต้น

    Larynx = ลำคอส่วนล่าง

    Trachea = หลอดลมใหญ่ส่วนต้น

    Bronchi = หลอดลมใหญ่ที่แยกเข้าปอดทั้งสองข้าง

    Lung = ปอด

    Heart = หัวใจ

    Ribs = ซี่โครง

    วันหนึ่งๆ เราต้องหายใจเอาอากาศเข้า ออกประมาณวันละ 8,000–9,000 ลิตร ซึ่งเป็นปริมาณที่มาก อากาศที่เราหายใจเข้าไปมักจะมีสารที่เป็นพิษต่อปอด และทางเดินหายใจ ที่เราเรียกว่ามลภาวะอากาศเป็นพิษ ซึ่งมีทั้งที่เป็นแก๊ส และเป็นผงฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ ปอดของเราเป็นส่วนที่ไวต่อการถูกทำอันตรายจากสารพิษ ดังนั้นอากาศที่หายใจเข้าไปควรเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ปราศจากสารที่เป็นพิษ ร่างกายมีกลไกการป้องกันการเกิดอันตรายอยู่ หลายอย่าง

    ฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศที่มีขนาดใหญ่เกิน 10 ไมครอน มักจะถูกกักติดอยู่ในส่วนต้นของทางเดินหายใจ ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กเท่านั้น คือ เล็กกว่า 5 ไมครอนจึงจะมีโอกาสลงไปกับลมหายใจเข้าไปถึงปอดได้ หลอดลมเรามีกลไกในการป้องกันอันตราย กลไกป้องกันระบบทางเดินหายใจอันที่ 1 คือ หลอดลมของเราจะถูกคลุมด้วยเมือกซึ่งจะเป็นตัวป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองถูกกับเซลล์ที่บุหลอดลมโดยตรง เมือกนี้เกิดจากต่อมหลั่งเมือกที่บุอยู่ในหลอดลมหลั่งออกมา ถ้าหลอดลมมีการอักเสบหรือถูกกระตุ้นจากสารที่ระคาย เมือกนี้ก็จะออกมามากขึ้น ซึ่งก็คือเสมหะนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่สูบบุหรี่มาก แ���ะเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง จะมีการหลั่งเมือกออกมามาก และไอออกมาเป็นเสมหะ เซลล์ที่บุหลอดลมจะมีขนซึ่งช่วยโบกพัดให้เมือกนั้นไหลออกมาจากหลอดลมส่วนปลาย มายังหลอดลมส่วนต้นและไหลออกมาทางปาก ฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่เมื่อหายใจเข้าไปในหลอดลมอาจจะติดอยู่บนเมือกที่คลุมหลอดลมอยู่นี้ และผลที่สุดก็จะถูกขับออกมากับเสมหะ

    ดูเพิ่มที่ลิงค์นะครับ

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    พบคุณหมอดีกว่าครับ ผมว่าถึงจะมีคุณหมอมาตอบก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกจากต้องผมคุณหมอเพื่อวินิจฉัยโรคโดยตรงอยู่ดี อย่ามองข้ามอาการที่คิดว่าเพียงเล็กๆน้อยๆนะครับ

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้