Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

ผมเก็บความสงสัยสองอย่างนี้ไว้นานมากๆเลยอยากถามสมาชิกดูเพื่อเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นครับ?

1) เมื่อตอนอายุ9ขวบ ผมจะมีอะไรที่พิเศษหรืออาจจะเรียกว่าแปลกก็ได้ คือตอนเรียนอยู่ชั้น ป.2 (7-8ขวบ)ผมจะเรียนโง่มากๆเรียกว่าผ่าน ป.1มาแบบครูเตะขึ้นมา พอเรียน ป.2 เลยต้องเรียนซ้ำชั้น ที่นี้หลังจากนั้นผมกลับกลายเป็นคนละคนเลย สอบได้ที่1 เลย แต่ความแปลกที่ผมสงสัยมานานคือ เวลาที่ครูพูดอยู่หน้าชั้นผมจะจ้องมองไปที่ริมฝีปากของครูแล้วผมจะรู้ล่วงหน้าก่อนนิดหนึ่งเสมอว่า ต่อไปครูจะพูดคำไหนออกมาจนบางครั้งผมอยากจะแย่งครูพูดเลยด้วยซ้ำ แต่พอละสายตาออกไปก็ไม่สามารถรู้ได้ เป็นแบบนี้อยู่เกือบ2ปีครับ 2) เมื่อประมาณสิบปีที่แล้วตอนนั้นผมทำงานโรงงาน ผมรู้สึกเกลียดผู้หญิงคนหนึ่งมากเรียกได้ว่าแทบไม่เคยมองหน้า แทบไม่ได้คุยกันเลยทั้งที่ต้องเจอกันทุกวัน และเธอก็เกลียดผมเหมือนกัน มาวันหนึ่งผมเห็นเพื่อนอ่านหนังสือแปลของท่านพุทธทาษ เรื่องเว่ยหล่างผมเลยยืมมาอ่านบ้างรู้สึกเกิดความซาบซึ้งมากๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจเบาสบายแล้ววันที่ผมต้องแปลกใจแบบสุดๆก็มาถึง คือวันนั้นผมนั่งรถรับส่งไปทำงานตามปกติ ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกับผม (เป็นรถหกล้อสองแถวนั่ง) ด้วยความที่จิตใจเบาสบายผมเลยจ้องไปที่หน้าของเธอ(แต่เธอไม่ได้มองผม) แล้วผมก็หลับตาในใจอยากบอกกับเธอว่าเราอย่าเกลียดกันได้ไหม วินาทีนั้นผมกลับเกิดความรู้สึกมีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่าตัวผมไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน เพียงแต่เวลาแห่งความสุขนั้นมันสั้นมาก ประมาณ5วินาทีได้มั้ง พอๆกับฟ้าแลบ พอลืมตาขึ้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม ครับก็มีสองข้อนี้อยากให้พี่ๆเพื่อนๆสมาชิก ลองตอบหรือวิเคราะห์ให้หน่อยครับ สองเรื่องนี้ผมไม่เคยเอาไปคุยให้ใครฟังมาก่อนเลยครับ ขอบคุณครับ

อัปเดต:

ขอเพิ่มรายละเอียดนิดหน่อยครับ ตอนเป็นเด็กนอกจากมองครูประจำชั้นพูดแล้วผมเคยมองครูใหญ่พูดหน้าเสาธงชี้แจงเรื่องราวต่างๆผมก็สามารถสรุปเรื่องราวได้ก่อนครูใหญ่พูดจบเช่นกัน และตอนเรียนชั้น ป.6ผมได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปสอบแข่งที่อำเภอผมได้ที่2กลับมา จนโตขึ้นมาทำงานผมก็จะสามารถเข้าใจงานและแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าหลายๆคนจนได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าแผนกทั้งที่ผมเรียนมาน้อยครับ ส่วนข้อหลังคือผมมีความสนใจศาสนามาตั้งแต่เด็กคือคุณพ่อชอบเล่าให้ฟังตอนท่านบวช และผมเองก็ได้บวชเณรปีหนึ่งบวชพระหนึ่งพรรษาแต่ไม่เคยทำสมาธิเลย ทุกวันนี้ผมยังติดนิสัยชอบอ่านหนังสือธรรมมะเรียกว่าผ่านร้านหนังสือเป็นไม่ได้ต้องซื้อ พออ่านเจอเรื่องประสพการณ์การทำสมาธิของพระอาจารย์ต่างๆ ที่ว่าพอเข้าถึงสมาธิแล้วจะเกิดอาการปิติอย่างนี้อย่างนั้น ตรงนี้นี่แหละครับที่ทำให้ผมนึกถึงความรู้สึกนั้นขึ้นมาได้ เลยทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจอยากฝึกการทำสมาธิอย่างจริงจังดู ประกอบกับผมมีปัญหาเรื่องชีวิตคู่ทำให้เสียหลักเสียเวลาไปนานทีเดียว ผมได้ไปสมัครเรียนการทำสมาธิที่วัดแห่งหนึ่งจะเริ่มเรียนวันที่15/8/53นี้ก็ไม่คาดหวังมากแต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ

9 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • on-ces
    Lv 5
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    เป็นความเคยชินเก่าๆ ของคุณค่ะ

    เคยทำ เคยฝึกจิตมา โดยเฉพาะตอนที่ไม่ได้ตั้งใจสมาธิจะตั้งได้ง่าย

    ทั้งรู้ล่วงหน้า เจริญเมตตา

    จากประสบการณ์(ที่เคยอ่านประสบการณ์คนอื่นมาอีกที+ของตัวเอง ^_^ )

    พบว่าคนที่เจริญสมาธิมามากนั้นจะสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่เล็กแต่น้อย

    แม้ยังไม่มีคนสอนก็จะสนใจเป็นพิเศษ บางทีบังเอิญตั้งจิตทำสมาธิได้ถูก

    หรือมีอะไรทำให้ตกใจมากๆ สติจะระลึกได้เอง บางทีรู้สึกว่า"คุ้นๆจัง แต่นึกไม่ออก"

    พอเริ่มเข้าสู่เส้นทางปฏิบัติ แล้วจะทราบว่าอาการที่เคยพบนั้นเป็นอะไร

    เป็นอาการของสมาธิ ทั้งระลึกรู้ลมบ้าง เจริญเมตตาครอบโลกบ้าง

    อาการของวิปัสสนา หรือเป็นตอนที่สติระลึกขึ้นเอง เกิดปัญญาเบื่อโลกฯลฯ

    ตอนแรกๆจะรู้สึกดีใจค่ะ ว่านี่ไม่ใช่ชาติแรกที่เราปฏิบัติมา

    เดินอีกไม่ไกล มีกำลังใจให้ปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

    พระท่านว่า ถ้าสนใจขวนขวายมาก ขยันขันแข็งมาก

    แปลว่ามีวาสนาเคยทำมามาก เหลืออีกไม่เยอะแล้ว

    แต่พอนึกขึ้นได้หลังๆ ก็จะวางเฉยไปเอง

    เพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไรกับการระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว

    ปล.ปฏิบัติอย่างไรก็ต้องคาดหวังค่ะ เพราะเรารักตัวเอง อยากให้สุขอยากให้สงบ

    จนกว่าจะตัดตัวตนขาดโน่นแหละคะ ถึงไม่คาดหวังอีกแล้ว

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    อ่านคำถามคุณแล้วน่าสนใจมากรวมทั้งคำตอบด้วย การตอบคงเป็นได้แค่การสันนิฐานเท่าันั้น ส่วนความจริงยากที่ใครจะพิสูจน์

    การที่คุณสามารถรู้ล่วงหน้าก่อนที่ครูจะพูด สองวินาที มันเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่เป็นได้แค่สองปี หลังจากนั้นไม่ทราบว่าเป็นยังไงต่อ เพราะคุณไม่ได้เล่าว่ากลับมาเรียนแย่เหมือนเดิม หรืออย่างไร ดิฉันเดา(เน้นว่าเดาจริงๆ)ว่าช่วงที่เกิด คงเกิดจากแรงฮึด ความต้องการที่จะผ่านไปให้ได้ เกิดเป็นความสงบของจิตใจเหมือนการนั่งสมาธิ จนสามารถฝึกให้รับรู้สิ่งที่คุณครูจะพูดก่อนล่วงหน้า เสียดายที่คุณอาจจะไม่ได้ฝึกจิตต่อไป ไม่งั้นป่านนี้คุณอาจจะมีชื่อเสียงเรื่องพลังจิตก็ได้นะ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้จะเกิดขึ้นกับทุกคน คุณน่าจะลองใช้เวลาทำใจให้สงบ นั่งสมาธิ เพื่อกระตุ้นความสามารถด้่านนี้ของคุณขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ต้องไปกดดัน หรือ เคร่งเครียดว่ามันจะต้องได้ ให้คิดว่าการนั่งสมาธิก็เป็นเรื่องดีสำหรับตัวคุณเอง

    ส่วนเรื่องที่สอง การที่เราให้อภัยแก่ผู้ที่คิดไม่ดีกับเรา หรือเป็นศัตรูกับเราได้อย่างบริสุทธิ์ใจย่อมเกิดความสุขสบายใจ เมื่อไม่มีความเกลียดชัง ก็จะมีแต่ความรู้สึกเมตตา อยากสงเคราะห์ เข้ามาแทนที ดิฉันเองเคยเป็นบ่อยๆเวลาที่มีปัญหากับใคร แม้กระทั่งในรู้รอบนี่เอง ช่วงแรกก็รู้สึกแย่ๆกับคนๆนั้น แต่พอสักพัก เมื่อได้พิจารณา ใคร่ครวญ อย่างมีสติ ปัญญาก็เกิดขึ้นมาทันที ทุกข์เกิดจากเรานั่นเอง เราอย่าไปคาดหวังให้คนอื่นเà¸��าพูด กระทำ อันใดที่ถูกใจเราเสมอไป ยิ่งเราโกธร เราก็เองที่จะยิ่งทุกข์ เมื่อคิดได้ดังนั้น ดิฉันจึงให้อภัย ทั้งให้อภัยคู่กรณี ให้อภัยตัวเองที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เผลอไปต่อปากต่อคำด้วย ก็จำไว้เป็นบทเรียนของตนเอง แค่นี้ความสุขใจก็บังเกิดขึ้นได้แล้ว จริงๆนะคะ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ตอนที่ผมเรียน ป.เตรียม - ป.1 ผมก็เรียนโง่มาก ๆ ครับ คนอื่นเขาท่องสูตรคูณได้ อ่าน ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ได้ แต่ผมทำไม่ได้ อับอายจนเป็นปมด้อย หลังจากนั้นพ่อผมก็บังคับให้ทำการบ้านและอ่านหนังสือนิทานร้อยบรรทัดทุกเย็น แรก ๆ ก็อ่านไม่ออก ถูกพ่อตีร้องไห้ทุกวัน ในที่สุดผมอ่านออก และหลังจากนั้นผมก็เรียนเก่ง จบ ป.2 ได้ที่ 1 หรือที่ 2 จำไม่ได้แล้ว

    คุณก็อาจจะมีอะไรทำให้สมองดีปัญญาดีขึ้นมา อาจเป็นการฝึกฝนอย่างผม หรือเป็นความผิดปกติที่เกิดจากอาหาร ยา หรือการกระทบกระเทือน

    เมื่อสมองดี ปัญญา��¸”ีมาก ก็จะ รู้ เข้าใจ รู้แม้แต่ว่าครูจะพูดว่าอย่างไร เดาสีหน้าและริมฝีปากออก มีจิตวิทยาสูง

    ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็น "ความจริงของโลก" แต่ต้องใช้สติปัญญาสูงพอสมควรจึงจะเข้าใจลึกซึ้ง บางคนจะไม่เข้า ( บัวสี่เหล่า ) แต่คุณสติปัญญาดีมาก จึงเข้าใจลึกซึ้งกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ผ่านมาทางหนังสือแปลของท่านพุทธทาส

    ถ้าคุณได้บวช ได้ศึกษาเรียนรู้มากขึ้น อาจเกิดดวงตาเห็นธรรม

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ขอตอบข้อหลังที่คุณมีจิตอภัยทานแก่เขา ไม่คิดโกรธอะไรเขา คุณย่อมเป็นสุขหมดเวรภัยในขณะนั้นแล้ว เมื่อคุณลืมตากลับมาปรุงแต่งใหม่ ลืมจิตที่อภัยทานก็กลับเป็นเหมือนเดิม ผมความรู้ไม่มาก ก็หวังว่าคุณจะมีจิตที่ให้อภัยทานเขาได้อย่างแท้จริงครับ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ข้อ1.เหมือนกับที่เพื่อนบางคนพูดไว้มันเชื่อมโยงไปถึงเรื่องพลังจิต สมาธิและการฝึกอย่างต่อเนื่อง

    พลังจิต-เคยอ่านหนังสือฝรั่งที่รวบรวมข้อมูลคนที่มีพลังจิตประเภทงอช้อน ทายของที่ถูกปิดไว้ ทายคนที่ห่างออกไป พลังจิตที่เชื่อมต่อกันระหว่างคู่แฝด

    โดยสรุปเค้าบอกว่าเด็กส่วนใหญ่มักเกิดมาพร้อมกับมีพลังจิตติดตัว แต่เมื่อไม่มีการฝึกฝนใช้งานต่อเนื่องมันจะค่อยๆหายไป

    การอ่านริมฝีปากแล้วรู้ล่วงหน้าคงคล้ายกับที่เวลาพูดกันผมเองมักเดาเรื่องที่คนพูดด้วยจะพูดออกล่วงหน้า ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่เพราะยังใช้วิธีคิดประมวลผลแบบเดิม(อันนี้ไม่เกี่ยวกับพลังจิต)

    การที่คุณเรียนดีขึ้นในช่วงนั้นคงเพราะคุณสร้างสมาธิให้เกิดกับตัวเองโดยสนใจเนื้อ��¸«à¸²à¸šà¸—เรียนจากการอ่านปากครูกระมัง(สงสัยนิดนึง คุณครูต้องเป็นผู้หญิงแน่่ๆ555...)

    2.หากคุณอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเว่ยหลางแล้วรู้สึกแบบนั้นผมว่าคุณต้องชอบแนวเต๋า เซ็นแน่ๆคนที่เข้าใจมันก็คงรู้สึกแบบที่คุณรู้สึกนั่นแหละ เห็นชัดว่าความสุขที่เกิดจากคุณมันไม่เกี่ยวกับตัวผู้หญิงนักแต่มันเกิดจากใจของคุณเอง ความสุขที่เกิดจากใจที่เป็นสุข อภัยและปราถนาดีต่อเพื่อนร่วมโลกย่อมสร้างสุข ปิติกับผู้คิดได้ง่าย

    การรักษาจิตแบบนั้นให้คงอยู่ตลอดสิยาก

    อันที่จริงพุทธเองก็สอนไม่ให้เรายึดติดทั้งสุขทั้งทุกข์นั่นแหละแค่รู้เท่าทันมันก็พอแล้ว

    ว่างๆลองหาหนังสือนิทานเซ็นมาอ่านดูเล่นๆสิครับ ลองอ่านดูหลายๆเล่มดูสำนวนก่อนซื้อนะครับเอาสำนวนที่เราอ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายๆเพราะเซ็นมันเรียบง่ายครับ(เหมือนเซ็นเชื่อของร้านค้าเลย หึ หึ)

  • MI1
    Lv 4
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    เรื่องในวัยเด็ก เป็นเรื่องปกติของแรงสะท้อนกลับ ที่สร้างความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดเป็นความตั้งใจที่สูงกว่าปกติ เกิดขึ้นได้กับทุกๆ คนครับ โดยส่วนตัวคิดว่าอย่างนั้น สุขที่เกิดจากการอ่านหนังสือที่ถูกกับจริตของตน ทำให้รู้สึกปลดปล่อย ปล่อยวางได้ เกิดความสงบสุข ชั่วขณะ ตรงจุดนี้สำคัญ อย่าลืมที่จะต่อยอดความรู้สึกนี้ให้ได้ หลายๆ ท่านก็เคยประสบความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้ตั้งคำถาม รวมทั้งตัวผมด้วย ก็เคยมีประสบการณ์ลักษณะนี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือการนำความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้มาต่อยอดให้สมบูรณ์ และทำให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับการใช้ชีวิตประจำวัน อาจจะเป็นตรงความรู้สึกนี้ก็ได้ ที่พระท่านว่า ความรู้สึกหลุดพ้น (เป็นความเชื่อส่วนตัว อาจผิดพลาดได้ ครับ)

  • ?
    Lv 4
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    การที่เราเพ่งมองอะไรนานๆก็ทำให้จิตเราสงบพอจิตเราสงบใจเราว่างเปล่าจิตใต้สำนึกเราก็บังเกิดขึ้นขณะหนึ่งที่ทำให้เราเห็นให้เราได้สัมผัสหรือที่ทุกคนเรียกว่าซิกเซนต์นั่นแหล่ะแต่ถ้าเราได้นั่งสมาธืบ่อยๆก็จะทำให้จิตเราเข้มแข็งขึ้นการที่จิตเราเป็นสุขเพราะเรารู้จักอโหสิกรรมใจเราถึงเป็นสุขถ้าเป็นไปได้อยากให้คุณนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าพุทธหายใจออกโทให้จิตเราเพ่งมาอยู่ระหว่างคิ้วสวดมนต์ทุกวันถ้ามีโอกาสเดินจงกรมได้ยิ่งดีเราก็มีความรู้นิดหน่อยอาศัยอ่านหนังสือเล็กน้อยแต่หนังของคุณก็ดีนะ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    อาจเป็นซิกเซนต์ก็ได้ อาจสืบเนื่องมาจากอดีตชาติเคยบำเพ็ญธรรมมาก่อน วันหนึ่งของชาตินี้จึงได้ซาบซึ้งมากๆกับหลักธรรม จิตเบาสบายณ.เวลานั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งจิตพุทธะ (คิดเองแบบนี้นะ) ผ่านมาหลายปีแล้วไม่รู้ว่ายังมีอาการความรู้สึกอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า จากการที่เราไม่สามารถระลึกชาติเพื่อได้ข้อมูลมาเป็นเหตุเป็นผลกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ชาตินี้เราระลึกรู้ได้ รู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น สามารถแยกแยะได้กับจิตที่เบาสบาย กับจิตที่หนักอึ้ง ยังซาบซึ้งกับธรรมะได้อย่างเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง อย่างนี้น่าจะต่อรากบุญ รากธรรม อย่าขาดช่วงแต่ละภพชาติ ธรรมช่วยขัดเกลาจิตที่ดำเป็นขาว ถึงจะขาวได้นิด..ทีละนิด ก็ยังดี แสดงว่าทำได้ ถ้าอยากทำต่อก็พยายามทำไปเรื่อยๆ สักวันของสักชาติจะเป็นวันของเรา (ถามฟองเบียรหน่อยว่าทำไมจิตต้องเพ่งที่ระหว่างคิ้ว)

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ถ้าคำตอบที่ผมตอบไปแล้วมันไม่ใช่หรือไม่ถูกต้อง(โปรดเข้าใจด้วยว่า มันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวน่ะครับ อิอิ)

    ผมว่าตอนเด็กที่คุณกล่าวถึง ผมว่าคุณไม่ได้โง่แน่นอนครับ เด็กก็คือเด็ก ผมว่ามีปัจจัยหรือสิ่งแวดล้อมมากมายที่มีผลในการเรียน โดยเฉพาะความรับผิดชอบ(ผมว่ามันน้อยมากจนขาดน้ำหนักในการตัดสินว่าคุณ ฉลาดหรือโง่ครับ คงไม่ใช่คำตอบที่ใช่หรือไม่ใช่แน่นอน) ส่วนการที่คุณดูริมฝีปากแล้วสามารถคาดเดาคำพูดได้ ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด เพราะถ้าผมดูบ่อยๆ ไม่ว่าสไตย์การพูดเทคนิคการพูด กับสิ่งที่เกิดขึ้นผมว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากมาย เพราะถ้าในวัยเด็กตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ถ้าเด็กให้ความสนใจเป็นพิเศษ ผมว่าโดยวัยแล้วน่าจะทำได้ดีกว่าวัยอื่น เพราะเหตุผลโดยวัยแล้ว ผมว่าน่าจะมีปัจจัยเพียงพอในการคาดเดา.....ส่วนคุณได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาษแล้ว คุณมีความรู้สึกที่ดี ในสภาพที่คุณนิ่งได้ชั่วขณะ (คุณอาจจะเก็บเกี่ยวความสุขได้ในชั่วขณะ) แต่พอลืมตาแล้วคุณก็ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุและผล ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่เกี่ยวกับลืมตาหรือหลับตาหลอกครับ ผมว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ทุกอย่างจะต้องมีเหตุผล ทุกอย่างอยู่ที่ใจคุณต่างหากว่าคุณต้องการอะไร โดยเฉพาะความสุขหรือทุกข์ที่คุณปราถนา ผมว่าไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดๆก็ตาม มนุษย์ต้องการคือแสวงหาความสุข ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน กิเลส กาม หรือทางธรรมก็ตาม.....ถ้าจะให้เหตุผลว่าคุณได้อะไรในขณะที่คุณได้อ่าน.....คุณได้อะไรต่างหาก ไม่มีอะไรแปลกประหลากเลยก็ว่าได้....คุณลองใช้เหตุผลเป็นตัวตั้งดูซิครับ ผมว่าคำตอบที่คนมากมายต้องการคงไม่ใช่สิ่งที่แตกต่างกันแน่นอน แต่ก็มีคนอีกมากมายที่ปล่อยให้อารมณ์มันมาครอบงำโดยไม่ได้คิดหรือให้เวลาในการหาคำตอบ ก็ว่าได้ อิอิ

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้