Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้
โรคเริมคืออะไร มีอาการอย่างไร เป็นโรคติดต่อหรือไม่?
ข่าวที่ว่าดาราตลกเป็นเริมคือใคร
6 คำตอบ
- 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมาคำตอบที่โปรดปราน
เริม Herpes simplex
การติดเชื้อ herpes simplex
เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปากและอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกายและอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ
- Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะแบ่งตัวทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้าหากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการแบ่งตัวทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก
เริม อาการของการติดเชื้อ herpes simplex
อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการของการติดเชื้อที่ปากและที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ
Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections
การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อนต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆอาจจะโตและอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว
ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เชื้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่มีผื่น
อาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections มีอาการน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ และมักเป็นบริเวณใกล้กับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะกลับเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี
การรักษา เริม
มียารับประทานให้เลือก 3 ตัวให้เลือกในการรักษา ยาทั้ง 3 ตัวมิไดให้หายขาดเพียงแต่ลดความรุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็น ยาทั้ง 3 ได้แก่ Acyclovir,Valacyclovir,Famciclovir การให้ยามีได้ 2 ลักษณะคือ
- Acute therapy หมายถึงการเริ่มให้ยาตั้งแต่เริ่มมีอาการคือปวดแสบปวดร้อนโดยที่ยังไม่มีผื่นขึ้น ถ้ามีผื่นขึ้นจะไม่ได้ผล ให้ยาครบ 5 วัน
- Suppress therapy คือการให้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำจะเลือกให้ในรายที่เกิดกรกลับเป็นซ้ำบ่อย หรือมีโรคประจำตัว
สำหรับยาทายังไม่มียาทาที่ได้ผลดี ยาทาอาจจะได้ผลในแง่ลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วยาที่นิยมใช้คือ acyclovir ครีมซึ่งได้ผลเฉพาะ primary lesion ยาทาไม่ช่วยลดจำนวนเชื้อหรือลดระยะเวลาที่เป็นโรค สำหรับยาอื่นต้องเลือกให้ดีเพราอาจจะมีแอลกอฮอล์ หรือสารที่ระคายอย่างอื่นซึ่งทำให้แผลหายช้ายาซึ่งมีส่วนผสมของ steroidก็ไม่ควรใช้เพราะแผลจะหายช้า
แหล่งข้อมูล: entertain.tidtam.com/data/12/0415-1.html - AramboyLv 51 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
นักเขียนหมอชาวบ้าน : ศ.นพ.สมยศ จารุวิจิตรรัตนา
Thu, 01/12/2548 - 00:00 — Au
เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ ๒ ชนิดคือ เฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ ๑ เกิดโรคเริมเฉพาะที่ปาก และเฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ ๒ เกิดโรคเริมเฉพาะที่อวัยวะเพศ
โรคเริมคืออะไร
โรคเริม เป็นโรคผิวหนังและเยื่อบุ (บริเวณปากและอวัยวะเพศ) ที่พบบ่อยชนิดหนึ่ง
เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ (Herpes simplex virus) ซึ่งมี ๒ ชนิด คือ เฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ ๑ และ เฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ ๒
เดิมเคยเชื่อว่า เฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ ๑ เกิดโรคเฉพาะที่ปาก
ส่วนเฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ ๒ เกิดโรคเฉพาะที่อวัยวะเพศ
ปัจจุบันพบว่าไวรัสทั้ง ๒ ชนิดก่อโรคได้กับผิวหนังทั้ง ๒ แห่ง
การติดเชื้อ
การติดเชื้อจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีสภาพการณ์ดังนี้
มีเชื้อไวรัสในน้ำเหลืองจากแผล น้ำลาย น้ำเหลืองหรือน้ำอสุจิ (semen) แล้วเชื้อไวรัสต้องเข้าสู่ผิวหนังที่มีรอยถลอกหรือรอยแผล และอาจจะเข้าสู่เยื่อเมือก เช่น บริเวณปากและอวัยวะเพศ
เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะมีกระบวนการติดเชื้อ ดังนี้
เฮอร์ปีส์ไวรัสจะแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ผิวหนังที่อยู่ชั้นล่างๆของผิวหนังโดยที่บางครั้งก็ไม่มีอาการ
แต่บางรายไวรัสจะแบ่งตัวและทำลายเซลล์ผิวหนัง จึงมีการอักเสบทำให้มีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นเป็นกลุ่ม อยู่บนปื้นแดง เมื่อตุ่มน้ำแห้งหรือแตกไปจะเกิดเป็นสะเก็ด แล้วหายโดยไม่มีแผลเป็น
ภายหลังการแบ่งตัวครั้งแรกแล้ว ไวรัสจะเข้าไปตามเส้นประสาทที่เลี้ยงผิวหนังบริเวณที่เกิดโรคแล้วเข้าไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทโดยไม่มีการแบ่งตัว ทำให้ทั้งไวรัสและเซลล์ประสาทอยู่ด้วยกันได้เป็นปกติ
เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามีช่วงใดบ้างที่ไวรัสจะมีการแบ่งตัวและแพร่กระจายออกมาจากเซลล์ที่แฝงตัวอยู่ ในช่วงนี้เองที่จะพบไวรัสในของเหลวของร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อแก่ผู้สัมผัสได้ บ่อยครั้งที่การแบ่งตัวของไวรัสเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการ
อาการของโรคเริมเป็นอย่างไร
อาการของโรคเริมขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคในครั้งแรก ระยะแฝง (ไม่มีอาการ) หรือระยะเป็นซ้ำ
ดูเพิ่มที่ลิงก์นะครับ
แหล่งข้อมูล: http://www.doctor.or.th/node/1828 - 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
เริม Herpes simplex
การติดเชื้อ herpes simplex
เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปากและอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกายและอาจจะเป็น อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ
* Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
* Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalisherpes
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะแบ่งตัวทำให้ ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้าหากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการ แบ่งตัวทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการ เกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก
เริม อาการของการติดเชื้อ herpes simplex
อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการของการ ติดเชื้อที่ปากและที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะ แบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections h1
* การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อนต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆอาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว
ปัจจัยกระตุ้นในการกลับเป็นซ้ำ เริม
* สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นได้แก่ การถูไถ การสัมผัสลม แสง ความเย็น เสื้อผ้าคับๆ เหงื่อ
* ความเครียด
* อาหารได้แก่ ถั่ว กาแฟ แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต
* การมีประจำเดือน
* การนอนหลับ ความเครียด ไข้
เริม ใครมีปัจจัยเสี่ยงในการได้รับเชื้อ herpes simplex
ทุกๆคนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ herpes simplex โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะไม่ดี โด���เชื้อ (HSV-1) จะติดต่อทางสารหลั่งในปาก ส่วน (HSV-2) จะติดต่อทางอวัยวะเพศ ทวารหนัก เมื่อเชื้อเข้าทางผิวหนังเชื้อจะไปตามเส้นประสาททำให้เชื้อลามเป็นบริเวณ กว้างและอาจจะเกิดผื่นที่บริเวณใหม่
* ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่ปากคือวัยเด็กอายุ 4-5 ปีมักติดต่อทางการสัมผัสเช่นการใช้ของร่วมกัน การจูบ ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อนี้สามารถติดต่อจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยเฉพาะที่ตาโดยการสัมผัส ด้วยมือดังนั้นต้องล้างมือให้สะอาด
* ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่อวัยวะเพศมักเกิดในผู้ที่มีคู่ขา หลายคน การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก oral sex ซึ่งเชื้อที่เป็นสาเหตุมักจะเป็น type 1 การป้องกันการติดเชื้อควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางคุมกำเนิดขณะมีอาการติดเชื้อมีการศึกษาว่าแม้จะไม่มีผื่นหรืออาการเชื้อก็สามารถแพร่ออกมาได้ ดังนั้นไม่มีหลักประกันว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่มีอาการจะปลอดภัยจาก โรคเริม
* การติดเชื้อที่ตา อาจจะทำให้ตาพร่ามัว ในรายที่เป็นรุนแรงอาจจะทำให้ตาบอด
การวินิจฉัย เริมtzank
* สามารถทำได้โดยการซักประวัติและการตรวจร่างกายพบผื่นดังกล่าวข้างต้น
* การเพาะเชื้อไวรัสโดยการนำน้ำใต้ตุ่มใสไปเพาะเชื้อโดยเฉพาะควรจะ นำหลังจากเกิดผื่นแล้วไม่เกิน 3 วันการตรวจนี้ไม่ได้ผลในรายที่ผื่นตกสะเก็ด หรือผื่นของการกลับเป็นซ้ำ
* การตรวจโดยกล้องจุลทัศน์โดยการนำเนื้อเยื่อไปส่องกล้องพบเซลล์ตัว โต
การรักษา เริม
มียารับประทานให้เลือก 3 ตัวให้เลือกในการรักษา ยาทั้ง 3 ตัวมิไดให้หายขาดเพียงแต่ลดความรุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็น ยาทั้ง 3 ได้แก่ Acyclovir,Valacyclovir,Famciclovir การให้ยามีได้ 2 ลักษณะคือ
1. Acute therapy หมายถึงการเริ่มให้ยาตั้งแต่เริ่มมีอาการคือปวดแสบปวดร้อนโดยที่ยังไม่มี ผื่นขึ้น ถ้ามีผื่นขึ้นจะไม่ได้ผล ให้ยาครบ 5 วัน
2. Suppress therapy คือการให้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำจะเลือกให้ในรายที่เกิดกรกลับเป็นซ้ำ บ่อย หรือมีโรคประจำตัว
สำหรับยาทายังไม่มียาทาที่ได้ผลดี ยาทาอาจจะได้ผลในแง่ลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วยาที่นิยมใช้คือ acyclovir ครีมซึ่งได้ผลเฉพาะ primary lesion ยาทาไม่ช่วยลดจำนวนเชื้อหรือลดระยะเวลาที่เป็นโรค
TOP
แหล่งข้อมูล: http://entertain.tidtam.com/data/12/0415-1.html - 6 ปี ที่ผ่านมา
ก้อปมาเก็บไว้นานพอสมควร และยังไม่ได้ลองทำดูเพราะไม่ได้เป็นแต่ก็ไม่แน่ถ้าเป็นแล้วก็จะใช้วิธีนี้ดูครับ
การรักษาเริมให้หายขาด (คลื่นความถี่จำเพาะ)
วิธีการนี้ คล้ายกับวิธีแรกที่เคยได้โพสต์ไว้ ยังอยู่ในกลุ่มของการใช้คลื่นพลังธรรมชาติในการรักษา
แต่ใช้เวลาในการบำบัดรักษาสั้นกว่า และมีความสะดวกมากกว่าวิธีแรก หลักการคือ ส่งคลื่นความถี่ที่มีรหัส หรือข้อมูล (information) ที่จำเพาะต่อการรักษาโรคเริมและงูสวัด ลงไปในตัวทำละลายเช่น น้ำ, เหล้า หรือ เหล้าขาว จากนั้นนำไปเจือจางในปริมาณที่พอเหมาะ คล้ายกับหลักการของโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ท่านสามารถศึกษาหลักการของ โฮมีโอพาธีร์ได้ที่สำนักการแพทย์ทางเลือก
หัวข้อโฮมีโอพาธีย์ "น้อยรักษามาก คลื่นพลังเปลี่ยนมวลสาร" ตามลิงค์ ข้างล่างนี้
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_cont...
ความสะดวกของวิธีนี้คือ
1. บำบัดเพียงครั้งเดียว ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที สามารถนำสารละลายไปทา หรือ ฉีดพ่นเองได้
2. นำสารละลายไป ทา ฉีด พ่นเองเพียงแค่ 1-2 วัน (จนกว่าสารละลายจะหมด)
3. ผู้ป่วยสามารถทานอาหารได้เกือบทุกอย่าง ยกเว้น เนื้อหมูและของมัน
4. สามารถรับการบำบัดได้แม้ไม่มีตุ่มเริม หรืองูสวัดปรากฎ
290 โฮมีโอพาธี - น้อยรักษามาก คลื่นพลังเปลี่ยนแปลงมวลสาร
"ในระหว่างที่ข้าพเจ้าศึกษาทบทวนความรู้และข้อปฏิบัติของการแพทย์แบบแผนตามที่เคยใช้มาแต่เดิมๆ ให้บังเอิญที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบหนทางใหม่สู่สัจธรรม …หนทางสายนี้ข้าพเจ้าจำต้องดำเนินไปตามลำพัง ยิ่งเดิน ก็ยิ่งไกลออกไปจากถนนเมนสายเดิมที่การแพทย์แบบแผนได้ปูลาดไว้ …จากสัจจะสู่สัจจะ ข้อแล้วข้อเล่าที่ข้าพเจ้าก้าวล่วงไปเป็นลำดับ ข้าพเจ้าก็ยิ่งพบตนเองเดินห่างออกไปจากโครงสร้างแห่งความรู้เก่าๆที่ข้าพเจ้าเดินจากมาความจริงใหม่ๆที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบ ถูกบันทึกไว้แล้วในหนังสือเล่มนี้"
ซามูเอล ฮานีมาน แห่งไลป์ซิก เขียนไว้ในบทนำของคำภีร์เล่มดัง The Healing Art of Homeopathy -
The Organon of Samuel Hahnemann เมื่อ ค.ศ.1810 ตำรานี้เป็นฐานแห่งความรู้ของวิชาโฮมีโอพาธี ซึ่งกลายเป็นการแพทย์พื้นบ้านที่แพร่หลายที่สุดในทวีปยุโรป ที่หยั่งรากลึกมากว่า 200 ปี ทั้งได้ข้ามทะเลไปยังราชอาณาจักรอังกฤษ กลายเป็นรากฐานของการแพทย์แบบพึ่งตนเองของอังกฤษ ประเทศที่ได้รับการยกย่องในความเลอเลิศของเวชศาสตร์ครอบครัว ที่ใช้การแพทย์พื้นบ้านผสานการแพทย์แบบแผน ได้อย่างแยบยลประเทศหนึ่งเขาเขียนต่อไว้อีกว่า "ที่เหลืออยู่ก็คือหน้าที่ของแพทย์ทั้งหลายเอง ที่จะยอมเปิดตาของตนเองสู่สัจจะความจริงที่แบอยู่เบื้องหน้า …
ขอเพียงแต่ให้เราปราศจากซึ่งอคติ และมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความจริงอันลึกซึ้งในวิชาชีพที่น่าภาคภูมิใจ
ของมนุษยชาติ…วิชาแพทย์”
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจหลักของโฮมีโอพาธี เริ่มจากการเตรีย��สารรักษากันก่อน สารรักษาเตรียมขึ้น
จากสมุนไพรหรือสารอื่นที่ใส่ไว้ในแอลกอฮอล์ นำเอาทิงเจอร์นี้มา 1 หยด เจือในน้ำ 10 หรือ 100 เท่า (ถ้าละลาย
10 ส่วนเรียกกันว่า D ถ้าละลาย 100 ส่วนเรียกกันว่า C) จากนี้เขย่าขวดสารละลายนี้ แล้วนำเอา 1 หยดของสารละลาย
ที่ถูกเขย่าแล้ว ไปเจือในน้ำ 10 หรือ 100 เท่า แล้วเขย่าอีก ทำเช่นนี้ต่อๆ ไปอีกหลายๆ ครั้ง เรียกหลักการนี้ว่า "การเพิ่มศักยภาพ" เพราะตามหลักโฮมีโอพาธียิ่งเจือให้จางลงมากเท่าไหร่ สารละลายนั้นๆ จะยิ่งมีศักยภาพในการรักษามากเป็นทบทวี
สารละลายที่เจือถูกเจือแบบ 1:10 สัก 10 ครั้งจะเรียกในภาษาโฮมีโอพาธีว่า D10 ที่เจือ 1:100 และทำสัก 10 ครั้ง
เรียกว่า C10 (โมเลกุลของสารที่ถูกเจือถึง D10 จะมีส่วนของสารที่เจืออยู่ในสารละลายนี้เพียง 10-10 หรือเท่ากับ 1 ใน 10 ล้าน และโมเลกุลของสารที่ถูกเจือถึง C10 จะมีส่วนของสารที่เจือในสารละลายนี้เพียง 10-20) สารละลายขวดสุดท้ายที่ได้นี้จะเป็นตัวที่ใช้งานเพื่อการรักษา
ทีนี้ถ้าใช้สารที่เจือแบบ 1:100 และทำต่อเนื่องกันไป 12 ครั้ง สารละลายสุดท้ายจะมีส่วนของสารที่เจืออยู่ในสารละลายเพียง 10-24 แต่เนื่องจากความรู้ที่เรามีอยู่เดิมมีว่า จำนวนอะตอมของสาร 1 mole มีประมาณ 6x1023 อะตอม ก็แสดงว่าสารละลายที่เจือไว้ 12 ครั้ง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีอะตอมของเจ้าสารนั้นอยู่แม้แต่อะตอมเดียว และในทางปฏิบัติจริงๆ สารละลายที่ใช้ในการรักษาของโฮมีโอพาธีจะผ่านการเจือจาง ไม่เพียง 10 ครั้ง แต่บางทีทำถึง 1,000 ครั้ง นั่นหมายความว่า ในสารละลายนั้นจะไม่มีอะตอมของสารที่นำมาเจือจางอยู่เลย แต่การณ์กลับปรากฏให้เป็นที่แปลกใจว่า สารละลายยิ่งเจือจำนวนครั้งยิ่งมาก กลับยิ่งมีศักยภาพสูงในการบำบัดรักษาโรค ทั้งๆที่สารละลายที่เจือจำนวนครั้งมากๆ นั้น จะไม่มีแม้แต่อะตอมเดียวของสารนั้นๆ ในน้ำที่ใช้บำบัดเลยก็ตาม
ความจริงที่ค้นพบประการนี้ จะไม่มีวันเป็นที่เข้าใจได้ของแพทย์หรือนักเภสัชวิทยาแบบฉบับ ที่ในหัวคิดมีแต่ภาพพจน์ของสารยาเข้าไปกระทำกับปุ่มรับบนผนังเซลล์ที่รับการบำบัด นั่นเป็นวิธีคิดที่ติดตัวมาโดยตลอดของแพทย์
ที่เรียนรู้มาทางวิทยาศาสตร์กายเนื้อ ที่ตกทอดมาจากความรู้รุ่นเดอะของ ไอแซก นิวตัน ตำราทางแพทย์และเภสัชวิทยาจะบอกพวกเขาแต่เพียงเรื่องของ dose ยา ที่ต้องคำนวณจำนวนเป็นมิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวผู้ป่วย และต้องบริหารยา
ในปริมาณที่เพียง จึงจะเกิดบทบาทต่อร่างกายผู้ป่วย พวกเขาจึงเข้าใจไม่ได้อย่างยิ่ง ต่อประสบการณ์ที่พบว่า สสารเพียงอะตอมเดียว หรือไม่มีแม้แต่เงาของอะตอมนั้นๆ สามารถส่งผลต่อร่างกายของผู้ป่วยที่รับการบำบัดรักษาได้เราจะเข้าใจโฮมีโอพาธีได้ ต้องนำความรู้เกี่ยวกับพลังกายทิพย์ที่อาศัยน้ำประจุพลังเป็นสื่อ เรารู้มาแล้วว่า น้ำเป็นสารที่มีศักยภาพในการสกัดเอาคลื่นสั่นสะเทือนต่างๆ มาไว้ในตัว อย่างการศึกษาของ ดร.แกรด ที่ทดลองให้เห็นว่า น้ำที่ผ่านมือนักบำบัด สามารถประจุพลังสั่นสะเทือนหรือพลังกายทิพย์จากนักบำบัดเข้าไว้ ในตัว แล้วปล่อยพลังเหล่านั้นเข้าสู่เมล็ดพืชที่กำลังงอก ให้เกิดการงอกงามมากกว่าเมล็ดพืชที่ได้รับน้ำอย่างปกติ ในกรณีของโฮมีโอพาธี กระบวนการเจือสารละลายหลายสิบหลายร้อยเท่า ด้วยการเขย่าขวดสารละลาย สิ่งที่สารละลายสกัดออกมาจากโมเลกุลของสมุนไพรไม่ใช่ตัวเนื้อของสมุนไพร เพราะมันถูกเจือจางมากจน ไม่เหลือแม้แต่โมเลกุลหรืออะตอมเดียว แต่สิ่งที่สารละลายนั้นสกัดออกมา คือคลื่นสั่นสะเทือนของสมุนไพรชน��ดนั้นที่กลายเป็น "ลายพิมพ์" พิมพ์ไว้ในน้ำขณะที่มันถูกเขย่าให้ผสมผสานกัน อาจเรียกว่าเป็น "กายทิพย์" ของสมุนไพรชนิดนั้นต่างหาก ที่ถูกประจุไว้ในการเจือจางทีละขวดทีละขวด
ทีนี้น้ำประจุพลังดังกล่าวเกิดผลกับร่างกายของผู้ป่วยอย่างไร? ก่อนจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ เราต้องใช้มุมมองใหม่ว่าด้วยการเกิดโรคจากจุดยืนด้านคลื่นพลังบำบัด ฮานิมานกล่าวย้ำมาแต่ไหนแต่ไรว่า โฮมีโอพาธีรักษาโรคด้วยการสร้าง "โรคเทียม" ที่มีอาการคล้ายกับ "โรคแท้" ของผู้ป่วยรายนั้นๆ แล้วอาศัยโรคเทียมนี้ไปกระตุ้นปฏิกิริยาโต้ตอบจากร่างกาย ให้เกิดการสมานคืนตัวเอง หลักการของฮานีมานคล้ายกับการสร้างวัคซีนและฉีดวัคซีนนั่นคือไวรัสหรือชิ้นส่วนของไวรัสถูกฉีดให้กับคน เพื่อให้คนผู้นั้นสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตัวนั้นขึ้นมา แต่แทนที่ จะกระตุ้นการตอบสนองทางกายภาพตามกระบวนการของการฉีดวัคซีน โฮมีโอพาธีกลับกระตุ้นการตอบสนองทางคลื่นสั่นสะเทือนที่มีต่อโรคนั้นๆขึ้นมาแทน
ผู้อ่านจะซาบซึ้งในหลักการนี้ได้ ขอทบทวนหลักคิดว่าด้วยการมีสุขภาพดีและการเกิดโรคด้วยมุมมองทางด้านคลื่นพลังงานหรือกายทิพย์อีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือ
เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า สิ่งต่างๆในจักรวาลนอกจากตัวกายเนื้อที่พิสูจน์จับต้องได้แล้ว สิ่งต่างๆก็ยังมีกายทิพย์หรือคลื่นพลังงานที่เป็นโครงคร่าวของสิ่งนั้นๆดำรงอยู่คู่กัน เพราะสรรพสิ่งเป็นทั้งมวลสารและพลังงานในเวลาเดียวกัน เป็นทั้งอนุภาคและคลื่นสั่นสะเทือนในเวลาเดียวกัน เป็นทั้งรูปและนามที่ดำรงอยู่ด้วยกันทุกเสี้ยววินาทีตามหลักวิทยาศาสตร์ควอนตัม ใบไม้มีกายทิพย์ คน สัตว์มีกายทิพย์ แม้แต่โลกและเอกภพก็มีกายทิพย์ดำรงอยู่ การป่วยเจ็บของคนเราเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงที่คลื่นพลังงานของเราก่อน (ดังกรณีที่ เซมิออน คีร์เลียน ถ่ายภาพรังสีของตนเองไม่ติดก่อนหน้าที่จะพบว่าตนเองป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรงอยู่กว่า 1 สัปดาห์หลังจากวันนั้น) ถ้าคลื่นพลังไม่ได้รับการแก้ไขสู่สมดุล การป่วยเจ็บก็ซึมลึกลงสู่กายเนื้อ เกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บให้เราเห็น ตั้งแต่โรคติดเชื้อไปจนถึงโรคมะเร็ง
สมมติร่างกายของเราปกติมีคลื่นสั่นสะเทือนที่ 300 Hz แต่เมื่อติดเชื้อหวัด เราจะเกิดไข้ซึ่งเป็นการกระตุ้น เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อหวัด ในขณะเกิดไข้เราอาจมีคลื่นสั่นสะเทือนที่ 475 Hz ไข้หวัดจึงจะหายได้ ทีนี้ในเมื่อเชื้อหวัดทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาสั่นสะเทือนที่ 475 Hz แล้วหายจากหวัด ถ้าเช่นนั้นถ้าใช้สารอะไรก็ตามที่ ก่อคลื่นสั่นสะเทือนของร่างกายให้ขึ้นถึง 475 Hz ย่อมจะเกิดผลรักษาโรคนั้นๆได้เช่นกัน
นี่เป็นที่มาของโฮมีโอพาธีที่พยายามหาสารอะไรก็ตาม ที่กินแล้วเกิดอาการป่วยแบบเดียวกับเวลาเป็นโรคนั้นจริงๆ เมื่อเจือจางสารนั้นให้ถึงที่สุดแล้ว จนไม่เหลือโมเลกุลของสารนั้นเหลืออยู่เลย แต่สารนั้นได้สร้าง "ลายพิมพ์" ในน้ำประจุพลังเอาไว้ เมื่อดื่มเข้าไปก็ก่อให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนอาการแบบเดียวกัน ผลก็คือร่างกายจะตอบสนองต่อสารนั้นและพลอยตอบสนองกับโรคจริงๆที่มีอยู่ในตัวด้วย จึงเกิดการบำบัดโรค ภายในตัวเองในที่สุด
หลักของโฮมีโอพาธี ก็คือ น้อยรักษามาก คลื่นพลัง เปลี่ยนแปลง มวลสาร
น่าแปลกที่ว่า ซามูเอล ฮานีมาน ค้นพบเมื่อ 200 ปีก่อน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ พิสูจน์ ทฤษฎีควอนตัม เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ดร.ริชาร์ด เกอร์เบอร์ มาอธิบายเรื่องนี้ได้เมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา แต่การแพทย์แบบแผนส่วนใหญ่ในวันนี้���ังพิศวงงงงวย และรับไม่ได้กับผลการบำบัดของกลุ่มวิชาคลื่นพลังบำบัด
- 7 ปี ที่ผ่านมา
เริมกับการรักษา วันนี้เอาการรักษาแบบใหม่มาให้ศึกษาเป็นทางเลือก
การฟื้นฟูรักษาด้วยชีวะโมเลกุล สำหรับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
ปัจจุบันนี้คนเราเกิดภาวะตรึงเครียดเนื่องด้วยหลายๆสาเหตุ และปัจจัย ทำให้ร่างกายและจิตใจของเกิดโรคต่างๆขึ้นมากมาย แต่พวกเรายังโชคดีที่ว่ามีการค้นพบการป้องกันสภาพที่เสื่อมโทรมนี้
โดยปรัชญาเบื้องต้น สิ่งที่สำคัญพื้นฐานสำหรับการมีสุขภาพที่ดีคือ แสงแดด, ออกซิเจน, น้ำ, การได้รับสารอาหารที่สมดุล และ การออกกำลังกายที่เพียงพอ
การวิจัยใหม่ค้นพบว่าห้าข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต แต่เนื่องด้วยชีวิตปัจจุบันทำให้สิ่งต่างๆ สารอาหาร น้ำดื่ม อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ การได้รับแสงแดดที่ไม่เพียงพอหรือผิดช่วงเวลา ทำให้เราได้รับสิ่งไม่มีคุณภาพเพียงพอเราจึงต้องอาศัยตัวช่วยเพื่อให้ได้รับสิ่งสำคัญที่เพียงพอ
ผลของการบำบัดด้วยเซลล์ :
-ต่อต้านความชราและการแก่ก่อนวัยอันควรที่เกิดจากความเหนื่อยล้าทั้งทางร่ายกายและจิตใจ
-ฮอร์โมนไม่สมดุลและไม่มีประสิทธิภาพของต่อมไร้ท่อ
-ปัญหาเรื่องความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ, ความเจ็บป่วยเนื่องจากความเครียด
-อาการอ่อนล้าเรื้อรัง(Chronic Fatigue Syndrome CFS)
-การพักฟื้นหลังจากโรคหรืออุบัติเหตุ
-กระดูกสันหลังและไขข้อเสื่อม
-ความบกพร่องของกล้ามเนื้อและระบบประสาทบางประเภท
-โรคเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเนื้อเยื้อเรื้อรัง
-ปัญหาระบบหมุนเวียน
-โรคเกี่ยวกับระบบย่อย
-ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมสภาพและการติดเชื้อ
-การสร้างเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะขึ้นมาใหม่
-ภูมิคุ้มกัน สารต่อต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการอักเสบ
-การควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ
-โปรโมทและบำรุงรักษาการหมุนเวียนเลือด
-เพื่อให้มั่นใจการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการรักษาบาดแผล
-การเพิ่มประสิทธิภาพของการฟื้นฟูระบบประสาท
-ควบคุมความสมดุลของระบบฮอร์โมน
-ปรับปรุงระบบทางเดินอาหารที่จะนำไปสู่การกำจัดอาการท้องผูก
-เพิ่มความยืดหยุ่นที่ข้อต่อและหมอนรองกระดูก
-ปรับปรุงการรับรู้และการตื่นตัวของสมองและเสริมสร้างความชุ่มชื้นของผิวหนังชั้นนอกซึ่งนำไปสู่ผิวที่กระชับ สดใสและเรียบเนียน
-เพิ่มความหนาแน่นของชั้นหนังแท้โดยการเร่งคอลลาเจน