ขอความช่วยเหลือด้านกฎหมาย?

ก็ไม่ต้องตกใจอะไรไปมากหรอกครับ เพราะคำพูดคือคำพูด การไล่เรียงเหตุและผล

ทางกฎหมายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนนี้คุณเองต้องเริ่มตั้งสติและลำดับเหตุการณ์ก่อน

ว่า การอาศัยหรือการถือครองที่ดินนั้นเริ่มทำขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยใด โดยในระหว่างที่ได้

ครอบครองหรือเข้าอยู่บนที่ดินแปลงนั้น มีใครมีส่วนรู้เห็นมากน้อยขนาดไหน ต่อให้

พื้นที่แปลงนั้นมีโฉนดและโดนอ้างสิทธิ์ในที่ผืนนั้นก็ตาม การรับรู้รับทราบความเป็นมา

เป็นไปของการครอบครองการอาศัยนั้น สามารถแจงให้ศาลหรือผู้ตัดสินความได้เพราะ

ถือเป็นพยานบุคคล

ส่วนในเรื่องของรายละเอียดไงก็ต้องว่ากันตามโรงตามศาลหละครับ อย่าเพิ่มตกอก

ตกใจไป หากต้องการทนายความช่วยเหลือ แต่ไม่มีเงินก็ไปที่สภาทนายความ ตรง

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้ เขามีสำนักงานตั้งตรงนั้น ไงก็ขอความช่วยเหลือทาง

กฎหมายได้ครับ

เท่าที่อ่านดูจะมีกฏหมายหลายฉบับเข้ามาเกี่ยวข้อง

เช่น ที่ดินเป้นที่มรดก หลังพ่อ-แม่เสีย ใครเป็นผู้จัดการมรดก

ลูกสี่คนมีสิทธิ์ได้ทุกสิ่งของพ่อ-แม่เท่าเทียมกันหากมิได้ทำพินัยกรรม

มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากปรึกษาทนายก่อนไม่เสียเงินคะ

หากตกลงให้ทนายทำงานถึงจะเริ่มเสีย..

ส่วนกรณีให้เขามีความรับผิดชอบต่อบุตรนั้น..

ไม่ทราบว่าบุตรนั้นมีอายุบรรลุนิติภาวะหรือยัง

หากยังมีพรบ.คุ้มครองเด็กที่พ่อ-แม่ มีหน้าที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดู

บุตรคะหากไม่ทำมีความผิดตามพรบ.คะ

เอาใจช่วยนะคะถามมาเป็นข้อๆพร้อมรายละเอียดประกอบด้วย

อาจให้คำปรึกษาได้มากกว่านี้..

http://lawyers.in.th/renew/forum.php

ลองปรึกษาทีนี้ดูครับ

ปัญหาข้อเท็จจริงจากคำถาม

เป็นปัญหากฎหมายเกี่ยวด้วย "สิทธิอาศัย"

ซึ่งการวินิจฉัยข้อกฎหมายจะต้องได้มาจาก

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้น แต่จากคำถามข้อเท็จจริง

ที่กล่าวมานั้นยังฟังไม่พอที่จะพิจารณาได้ครับ

แต่ก็ใช่ว่าจะถูกขับไล่กันง่าย ๆ นะครับ ในเมื่อทุกคน

ไม่ออกโดยอ้างสิทธิอาศัยที่อยู่ร่วมกันมาโดยเดิมเคยเป็นของบิดามารดา

และมีกฎหมายให้ยกอ้างได้(แต่จะถูกหรือผิดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

หากเค้าต้องการขับไล่เราจริง ๆ ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งลงมา

นั่น คือ วิธีสุดท้ายที่จะไล่เราได้

(ข้อมูลคำถามที่ขาดหายไปนั้น อาจเป็นข้อต่อสู้ให้ชนะคดีได้)

แต่เมื่อพี่น้องขึ้นโรงศาลเสียแล้ว จะอยู่ร่วมกันได้เช่นไร

อย่างไรก็ควรเจรจากันดีกว่าครับ