มีใครทราบอาการแบบนี้ว่าเป็นโรคอะไรหรือไม่?

เป็นแบบว่า . . . น้ำตาลในเลือดตก . . . อาจเกิดจากการ อดนอน นอนไม่พอ นอนดึกเกินไป หรือขาดอาหาร เป็นต้น . . . หรือมีการเผาผลาญ/ใช้พลังงานมากเกินไปครับ . ไม่ทราบเรียกว่า ไฮเปอร์เมตาโบลิซึ่ม หรือไม่

ผมเองก็เคยเป็นแบบนี้ . ก็ใช้การกินน้ำตาลก้อน และปรับการนอน ให้นอนได้มากขึ้นกว่าเดิมครับ . . . ถ้าไม่เป็นโลหิตจาง ไม่ต้องกิน FBC(บำรุงเลือด) ก็ได้ครับ . น้ำตาลอย่างเดียวก็พอ

. . . ถ้าสายตระกูลไม่เป็นเบาหวาน . เราก็ไม่เป็นง่ายๆหรอกครับ . ผมกินของหวานประเภท ทองหยิบ ฝอยทอง ตอนดึกๆมาหลาย 10 ปีแล้ว ก็ไม่เคยเป็นเบาหวานครับ หุ่นยังได้มาตรฐานอยู่ นน.ไม่เคยเกิน60กก.ครับ

อิอิ..อายุก็ไม่ยอมบอกกัน...จะได้ฟันธงตรงๆว่าวัยทองแทรกซ้อน..ป่าวๆๆคะ..อย่าคิดว่าตัวดีก็วัยทองมาก่อนถึงรู้...เคยเห็นพี่สาวคนโตบ่นๆให้ฟังทำนองนี้ เพราะการผ่าตัดมดลูกทิ้งจะทำให้ภาวะวัยทองมาไวๆกว่ามาม่า...หหุ

คุณมิ้มเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนมั๊ยคะ

คือลำพังนู๋เอง นู๋ไม่มีความรู้เรื่องความผิดปรกติทางกายภาพหรอกค่ะ

แต่ที่เคยได้อ่านหนังสือแพทย์แผนจีนเล่มนึง ได้ความเข้าใจพื้นฐานว่า ผู้เขียนหนังสือนั้น เติบโตมากับบิดาที่เป็นแพทย์จีนแผนโบราณ คลุกคลีกับหยูกยา โตขึ้นมาเรียนแพทย์ตะวันตก ชนะการประกวดแข่งขันผ่าตัดทั่วประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ คุณหมอคนนี้เป็นหมอฝังเข็มอยู่ในแผ่นดินเรานี่แหละ (พูดเป็นตื่นเต้นไป ราวกà¸��บมีหมอฝังเข็มอยู่ไม่มาก) ส่วนตัว อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว ก็เลยมองการรักษาโรคสมัยใหม่ด้วยสายตาชั่วร้ายว่า รักษากันเป็นแต่ปลายเหตุ คือมองกันแต่อาการที่ปรากฏออกมาให้เห็น มีอะไรไม่ดีก็โด๊พยาเข้าไปทำลาย อะไรผิดปรกติก็ตัดทิ้ง ประมาณนี้ (อาจเป็นความคิดผิด ๆ ส่วนตัวก็ได้นะ)

เพราะวิธีการรักษาที่ได้ผล ควรจะเป็นการหาสาเหตุต้นตอแท้จริงของความผิดปรกติ แล้วจึงรักษากันที่ต้นตอจริงจริง

ความไม่รู้ส่วนตัว เห็นว่า การแมะวินิจฉันนั้น น่าทึ่งกว่าการใช้เครื่องโสต๊ตโตสโขบหรืออะไรก็ไม่รู้ เพราะเครื่องวัดเครื่องชั่ง เครื่องเอ๊กซ์(เรย์) ทำให้เราได้เห็นแค่ปลายเหตุ เหมือน ๆ กับยอดสุดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำ คือมันโผล่มาแค่สองนิ้วกะสี่กระเบียด แต่ทีีจริง ก้อนภูเขาแท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างที่ไม่มีใครมองเห็น มันโตเป็นภูเขาเลากาตะหาก

ได้รู้จักการรักษาโรคด้วยการฝังเข็ม สั้น ๆ ก็คือ ไม่ได้เอาอะไรแปลกปลอมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับร่างกายเลย นอกจากใช้เข็มเล่มเล็กสามเล่ม สะกิดลงไปในตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง เพื่อไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่า่งกายให้ทำงาน เท่านั้นเอง หลายปีก่อนพาคุณพ่อไปรักษาค่ะ หลังจากวินิจฉัย คุณหมอก็ยังไม่ได้ลงมือรักษา แต่เขียนใบสั่งยาบนกระดาษเอสี่ ให้ไปหาซื้อ มาต้มกินก่อน ขับของเสียในร่างกายออกไปเสียก่อน แล้วจึงกลับไปรักษา หายค่ะ หายสนิท หลังจากนั้นได้แนะนำญาติพี่น้องไปอีกหลายราย ด้วยอาการต่าง ๆ กัน

จำได้อีกเรื่อง เรื่องที่เกิดในห้องเรียน เราคุยกันเรื่องพลาซีโบเอ๊ฟเฟก ที่เค้าทดลองให้คนป่วยกินเม็ดแป้งเล็ก ๆ บางคนหายจากอาการป่วย ได้ข้อสรุปว่า ความเชื่อของคนป่วยก็มีผลกับการรักษาเหมือนกัน คนป่วยที่ไม่เชื่อในหมอในà¸��า ได้กินยาจริง ก็ไม่หายจากโรค ขอเหมาต่อเอาว่า จิตใจมีพลังที่จะรักษาอาการผิดปรกติทางร่างกายอย่างแน่นอน สร้างความเข้มแข็งให้จิตใจด้วยนะคะ ถ้าเรามองเห็นชัดเจนได้ เห็นตัวเราในร่างกายที่แข็งแรงได้ จริงจริง มันก็ต้องจริง

ปรึกษาแพทย์ ดีที่สุดนะครับ ^^

โรคเครียด อย่างนี้ต้องสวดมนต์ บ่อยๆ

อยากแนะนำให้ลองไปตรวจกับแพทย์แผนไทยโบราญ

ที่เชียงใหม่มีอยู่ที่หนึ่งเก่งค่ะ

แต่ไม่ทราบว่าคุณเคยรักษาแบบนี้หรือปล่าว

ถ้าตัดมดลูกทิ้งตั้งแต่ยังมีประจำเดือนเขาจะมีตัวฮอร์โมนเสริมให้กินนะ แต่ของพี่เราเขาไม่กินน้ำหวานและฮอร์โมนก็กินไม่ได้เขาแพ้ แต่เขากินวิตามินเสริมที่เห็นเขากินนะก็มีวิตามินรวม เหล็ก แคลเซียม วิตามินอี วิตามินบี เนื่องจากพอตัดมดลูกไปร่างกายจะขาดวิตามินพวกนี้