Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

กฏแห่งกรรม มาจากไหน? ใครเป็นผู้ตั้งกฏนี้?

ถ้ามีกฏ ต้องมีผู้ตั้งกฏ กฏมีไว้ควบคุมระบบการทำกิจ กฏคือปลายเหตุ มิใช่ปฐมเหตุ ปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวงคือ "สิ่งหรือผู้ศักดิสืทธิ์สูงสุดในสากลโลก" ที่ผมเรียกสั้นๆว่า "พระเจ้า" พระองค์เป็นผู้กำหนดกฏแห่งกรรมไว้เพื่อเป็นหลักการพิพากษามนุษย์และวิญญาณจิตทั้งปวงในจักรวาลนี้ ผู้ที่ไม่เชื่อว่า "พระเจ้ามีจริง" ก็สถาปนา "กฏแห่งกรรม" ให้เป็นพระเจ้าและทำหน้าที่ของพระเจ้าในการกำหนดชตาชีวิตใน "ภพ" หน้าว่าจะไปเกิดเป็นอะไรต่อไป ผมอยากทราบว่า ผู้อ่านในชุมชนนี้มีความเห็นและเหตุผลสนับสนุนความเห็นของตนเองอย่างไรครับ?

อนึ่ง กฏแห่งกรรม มิได้ตั้งขึ้นมาโดยมนุษย์คนใด มนุษย์ได้เรียนรู้จักกฏนี้มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ก่อนศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาใดๆจะมีขึ้น กฏนี้ก็มีจารึกในสมองของแต่ละคนแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะมีศาสนาหรือไม่ หรือจะรับทราบกฏนี้ในใจของเขาหรือไม่ ก็มิได้ทำให้กฏนี้เป็นโมฆะไปแต่อย่างไร จริงหรือไม่?

ผมจะมอบคำถามนี้ให้พี่น้องทั้งหลายโหวตกันเองนะครับว่า คำตอบใดมีคุณค่าและมีข้อคิดดีเด่นที่สุด ผมเองก็อยากทราบว่าพี่น้องคิดอย่างไรในแต่ละคำตอบครับ

7 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 10 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    กฏแห่งกรรม มีอยู่ ดำเนินอยู่ และจะเป็นต่อไป

    ในศาสนาที่ดิฉันนับถือ องค์พระศาสดา เป็นผู้ค้นพบสิ่งที่มีอยู่แล้ว และนำมาเผยแผ่

    เพื่อให้มวลมนุษย์ พ้นทุกข์

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    ความต้องการของมนุษย์ ปัจจัยสี่ เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยยารักษาโรค แต่สังคมคงจะอยู่ดีไม่ได้ ถ้าขาดศาสนา หลักการดำเนินชีวิตให้ถุกทาง ความต้องการของมนุษย์พอจะแยกย่อยออกมาได้

    ความต้องการทางร่างกาย ปัจจัยสี่ ความต้องกรทางเศรษฐกิจ

    ความต้องการทางสังคม ความปราถนาสร้างหลักฐานทางครอบครัว ในหมู่คณะ ในชาติ ไปจนถึงการผูกพันระหว่างชาติ จนมาถึงการควบคุมพฤติกรรมทางสังคม เครื่องมือควบคุมที่ดี จึงเป็น ศาสนา ต้องมามองว่าศาสนาประเภทไหน ถ้าในทางศาสนาพุทธ แตกต่างจากศาสนาอืน ตรงที่ไม่ได้เข้าร่วมหรือผูกพันกัยสิ่งสองสิ่ง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า หลักความเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก ไม่มีในศาสนาพุทธ หลักความเชื่อว่าคำสอนต่างๆมาจากพระเจ้า ก็ไม่มีในศาสนาพุทธ ถึงพระพุทธเจ้าเคยเป็น ฮินดูพราหมณ์มาก่อน เคยเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก สร้างสัพสัตว์ ในพราหมณ์ ฮินดู พระเจ้ามากมาย มีหลักการยอมมอบตน มอบการกระทำของตนและอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับตนให้แก่พระเจ้าอย่างจงรักภักดี โดยไม่มีข้อโต้แย้งยอมให้เสรีภาพของตนไปขึ้นอยู่กับพระเจ้า คำสอนสอนของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธไม่มีความหมาย Religion ในความหมายของ ฝรั่ง หรือในกลุ่มฮินดูพราหมณ์ เพราะศาสนาพุทธ ๑ ไม่มีหลักเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก แต่มีหลักเชื่อว่า กรรมเป็นผู้สร้างโลก และ สร้างสรรพสิ่ง (กัมมุนา วัตตะตีโลโก) ๒ ไม่มีหลักเชื่อว่า คำสอนต่างๆมาจากพระเจ้า แต่เชื่อว่าคำสอนต่างๆมาจากผู้รู้ คือพุทธะแปลว่าผู้รู้ ๓ ไม่มีหลักเชื่อไปตามคำสอน โดยไม่คำนึงถึงข้อพิสูจน์ แต่มีหลักให้พิสูจน์ในคำสอนนั้นๆ (อยู่ในกาลามสูตร) ๔ ไม่มีหลักการยอมมอบตนให้กับพระเจ้า แต่มีหลักการยอมมอบตนให้แก่ตนเอง อัตตาหิอัตตาโน นาโถ เท่ากับตนเป็นที่à¸��ึ่งแห่งตน

    ศาสนาอื่น ไม่พบว่าพูดถึงเรื่องของกรรมหรือการกระทำ (กรรม) มีแต่ศาสนาพุทธที่พูดถึง กรรม คือ กรรมมัง สัต เต วิ ภัท ชะติ ฯลฯ คือแปลว่ากรรมเป็นเครื่องจำแนกการเกิดของสัตว์ ส่วน กฏแห่งกรรม ความหมายมันตรงตัว ถ้าเราขว้างหรือเตะฟุตบอลใส่กำแพง มันก็สะท้อนกลับมาหาเรา เพราะคำว่ากรรม มันแปลตรงตัว อยู่ แปลว่า การกระทำ ความแท้ๆ ศาสนาพุทธเป็นเรื่องง่ายๆเห็นๆ ไม่มีกาลเวลา แล้วยังท้าให้พิสูจน์ ที่เห็นว่าตำรายาวยืดแต่งกันขึ้นมาจากพวกนุศาสนาจาร์ย มันอวดปัญญากันพยายามตีความบาลีเข้าข้างตน แต่ท้ายที่สุดตำราใส่ตู้รถไฟ ได้ทั้งขบวน สรุปลง ที่กาย วาจา ใจ แล้ว ก็ สิ่งที่ให้กระทำ และห้ามกระทำ เหมือนกับเรารักตนเยี่ยงไรคนอื่นก็รักตนเองไม่ต่างจากเรา กฏของกรรมมันก็ไม่เกิด จึงมีคำพูดว่า อย่าทำกรรม ทำบาป ทำเวร มันจะสนองเอา ในทางศาสนาพุทธ เราเองตัวเราเอง เป็นผู้สร้างกรรม ขึ้นมา ในศาสนาพุทธ จึงมีคำว่า อโหสิกรรม ไม่ผูกกรรม ผูก เวรกันต่อไป การควบคุมกรรม ก็คือ ศิล ศิล ห้า ศิลแปด ศิลสิบ อันนั้นแยกย่อยกันออกไป ศิลห้า ศิลแปด เป็นศิลของผู้ครองเรือน

  • on-ces
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    ถ้ามีไม่มีบุคคลมาตั้งแต่แรก ก็จะแปลกอะไรที่ไม่มีใครเป็นคนตั้งกฎ

    มีแต่ความยึดว่าตัวเรามี จึงยึดว่าตัวคนอื่นจึงมี และตัวผู้สร้างเราถึงมี

    ในสภาวะที่เกิดขึ้นนี้ ถ้าตอบอย่างพุทธคือไม่มีใครสร้าง

    แต่เป็นธรรมดาที่จะเกิด เป็นธรรมดาที่จะดับค่ะ

    จิตทำกรรมเผ็ดร้อน ก็ถูกดูดไปเสวยภพเผ็ดร้อนให้เหมาะสม

    จิตทำกรรมร่มเย็นสว่างจ้า ก็ถูกดูดไปเสวยภพที่คู่ควรแก่ความร่มเย็นนั้น

    ใครไม่เข้าใจความจริงแห่งอริยสัจ ก็เวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป

    หลงยึด หลงผิด หลงทำกรรม จิตก็เวียนเกิดในภพภูมิต่างๆไปเรื่อย

    เสวยกรรมหนักเบาตามที่ทำล่วงมาในแต่ละชาติ

    ข้อหนึ่งอยากให้ลองนั่งสังเกตดู อะไรที่ว่าแปลกในโลก

    ก็เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น เช่น เห็นแต่คนหัวดำเป็นปกติ

    พอเห็นหัวทองก็รู้สึกแปลก ส่วนใครเห็นหัวทองทุกวันก็ไม่รู้สึกแปลกอีกต่อไป

    ความรู้สึกที่ว่าอ่านคำตอบไหนแล้วจะคุ้นหรือไม่คุ้นกับคำตอบนั้น

    เอามาเป็นข้อตัดสินไม่ได้ ว่าคำตอบใครถูกที่สุด

    ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นต้องพิสูจน์เอาเองค่ะ

    แหล่งข้อมูล: อ่านเรื่องกรรมที่มีเหตุผล และที่มาที่ไปได้ใน www.dungtrin.com
  • ?
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    ความคิดเห็นผมคงด้อยด้วยประสพการณ์ ที่จะไปค้นคว้าทั้งพระธรรมคำสอน และพระคัมภีร์ของพระเจ้า

    แต่ก็พอจะเข้าใจว่ากฏแห่งกรรมนี้มาจาก พ่อแม่และครูบาอาจารย์ที่เป็นคนพร่ำสอน..ที่มาของตัวผมเอง

    คนที่ตั้งกฏนี้มิอาจทราบได้เลย แต่แปลความ คำว่ากฏแห่งกรรมได้ดังนี้ครับ

    "กฎแห่งกรรม คือกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยการกระทำและผลของการกระทำ ซึ่งการกระทำกับผลนั้นย่อมมีความสัมพันธ์กันเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"ฯลฯ

    สังคมการอยู่รวมกันโดยคนหมู่มาก ก็จำเป็นที่ต้องมีกฏ

    สิ่งที่มองเห็นและรู้สึกได้ คือคนเก่าก่อนมีคุณธรรมจริยธรรม กลุ่มหนึ่ง(อาศัยเสียงข้างมากตั้งกฏขึ้นในจิตใจ)

    แล้วก็มีกุศโลบายที่ทำให้เห้นภาพของกรรม ที่แปลว่าการกระทำไปในทางที่ดีครับ

    กรรมสามอย่างที่ครูอาจารยืสอนนักหนา กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ได้แก่การกระทำทาง กาย วาจา และใจ

    กรรมแบ่งออกอีกเป็นสอง คือกุศลกรรม อกุศลกรรม

    เมื่อทำกาย วาจา ใจ ให้ดีแล้ว ก็เป็นกุศลกรรม พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง

    ผมจึงมั่นใจได้ว่า กฏแห่งกรรมนี้มาจาก พ่อแม่ ครูอาจารย์ ของตัวกระผมเอง

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    คิดว่าเป็นกฎทองคำของจักรวาล เป็นกฎแห่งความสมดุลตามธรรมชาติ หากอะไรก็ตามเสียสมดุล ธรรมชาติจะทำทุกอย่างให้เกิดความสมดุล(แบบหยินหยาง) ไม่เว้นแม้กระทั่งพฤติกรรมของมนุษย์ จึงเป็นที่มาของกฎแห่งกรรม

    ส่วนตนสองจิตสองใจ สัมผัสถึงความมีเหตุมีผลของพระพุทธและพระคริสต์ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรไปทางใดจึงถูกต้อง ได้แต่ทำตัวที่คิดว่าไม่แหกกฎแบบว่าเผื่อไว้ก่อน เรียกว่าเตรียมความพร้อม สิ่งที่ทำให้ละใจจากพระคริสต์ไม่ได้ก็ตรงปริศนาแห่งจักรวาล เหตุใดจักรวาลจึงกว้างใหญ่เสมือนไม่มีขอบเขต (ซึ่งจริง ๆ มันต้องมีสิ ทุกอย่างธรรมชาติแสดงให้รู้ว่ามีขอบเขต มีจุดสิ้นสุด) เหตุใดจึงมีดวงดาวแขวนอยู่บนท้องฟ้ามากมาย เหตุใดอะไรทำไมจึงเกิดสิ่งมีชีวิต ...มันอาจจะมีจักรวาลซ้อนจักรวาลแบบเดอะแมททริกซ์ มีโลกของสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าซ้อนอยู่ในจักรวาลที่ยิ่งใหญ่กว่าจักรวาลที่เราอาศัยอยู่...แบบไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการเหนือกว่า จะรู้ความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่า

    ส่วนใจที่ยังไม่ละจากพระพุทธ เพราะเข้าใจว่าพระพุทธไม่สนใจเรื่องจุดเกิดดับของจักรวาล แต่พระพุทธมุ่งให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกฎของจักรวาลตรงที่ทำตนให้มีสมดุล ทำตนให้ว่างเปล่าเพื่อจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาล ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    กฎแห่งกรรม เป็นกฏที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติค่ะ ไม่ได้มีผู้ใดสามารถเป็นผู้กำหนดขึ้นมาหรอกค่ะ

    เพียงแต่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสรู้และค้นพบ ท่านจึงนำมาสั่งสอนมนุษย์ให้เข้าใจและเห็นถูกต้อง เพื่อเป็นสิ่งหนึ่งในการดำเนินไปเพื่อถึงการพ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน

    คุณแน่ใจอย่างนั้นจริง ๆ หรือคะ.....ว่ากฎนี้ได้ถูกจารึกอยู่ในสมองของคนทุกคนแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะมีศาสนาหรือรับทราบกฎนี้ในใจของเขาหรือไม่ ??? หึ หึ หึ

    ถ้าแน่ใจà��€à¸Šà¹ˆà¸™à¸™à¸±à¹‰à¸™...ลองเปิดตาและเปิดใจกว้าง ๆ ดูอีกทีนะคะ

    แล้วถ้าคิดว่าพระเจ้าท่านเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวง ..ก็คงน่าประหลาดใจอย่างมากนะคะ....ว่าศาสนาพุทธเกิดมาแล้ว นับจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ เป็นเวลาถึง 2599 ปี แต่ในขณะที่พระเยซูท่านเพิ่งทรงเผยแพร่ศาสนาคริสต์มาได้เพียง 2011 ปี....

  • ?
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    คือมันมีคำว่าถอดรหัสไงค่ะ แต่หนูเชื่อว่าพระเจ้ากำหนดทุกสิ่ง หลังจากนั้นศาสดาก็มาถอดรหัสนำไปใช้กัน และหนูก็เชื่อว่าคนทุกคนมีอำเภอใจคิดเองได้ แต่มันก็มาจากสิ่งที่พระเจ้าให้มา และมันทำให้เชื่ออีกอย่างว่าการเป็นตัวอย่างที่ดีสำคัญกับมนุษย์รุ่นแรก และมันก็เป็นปรัชญาสำหรับมนุษย์ยุคต่อๆมา การตรัสรู้หนูยกประโยชน์ให้มนุษย์แต่หนูขอบคุณประเจ้า การเคารพรูปเคารพหนูเคารพ แต่สิ่งที่ควรจะนมัสการคือพระเจ้า มนุษย์เรียนรู้กฏแห่งกรรมตามประสบการณ์ของตนเองเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มนุษย์สร้าง"พระเจ้า"และสร้าง"นิพาน" สิ่งที่เป็นความจริงแท้คือสิ่งที่มีตัวตนแม้จะเป็นสุญกาศ แต่สิ่งที่ไม่แท้คือชื่อที่เรามนุษย์ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้แยกแยะตาความเข้าใจของตนเอง หนูไม่รู้ว่าปลายเหตุจะเป็นอย่างไรแต่หากหนูปฏิบัติตามในสิ่งที่หนูเชื่ออยากถูกต้อง หนูปฏิบัติแล้วแต่ทุกอยากในภายภาคหน้าเป็นความเชื่อทั้งหมด ไม่มีใครบอกได้ว่าเราจะเป็นอะไร เหมือนที่เราไม่รูว่า "ยูดัสไปสวรรค์หรือนรก"

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้