วิกฤตน้ำท่วมใหญ่...เราจะไปกันทางไหน?

เหมือนคนที่ไม่เคยเจ็บป่วยหนักจนล้มหมอนนอนเสื่อให้น้ำเกลือในโรงพยาบาล เกิดความชะล่าใจ คิดว่ามีสุขภาพแข็งแรง แต่พอเจ็บป่วยกะทันหันถึงขั้นโครม่า จึงทำอะไรไม่ค่อยถูก หลายฝ่ายพุ่งเป้า โทษนายกฯ “ปู” ผมว่าไม่สู้ถูกต้องนัก เธอเป็นนายกฯหญิงคนแรก ที่บังเอิญเข้ามาจังหวะไม่ค่อยดี แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามีข้อมูลที่ถูกต้อง วางแผนให้รอบคอบรัดกุมสักหน่อย สื่อสารมีประสิทธิภาพ เชื่อว่า ปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็น่าจะผ่อนคลายลงได้ น่าสงสารนายกฯ “ปู”ที่ถูกรับน้องใหม่ ซะอ่วมอรทัยไปเลย

มหันตภัยครั้งนี้เกิดขึ้นในวงกว้างถึง ๒๘ จังหวัดและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย จะมีตามมาอีกแน่ไม่รู้เมื่อไหร่ ไม่ใช่ผมอยากให้เก���ดหรอกครับ ถึงเวลาที่ธรรมชาติทวงคืนความยุติธรรมแล้วครับ

ลองคิดดู เพิ่งก้าวย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ เพียงสิบกว่าปี แต่ก็ต้องพากันอกสั่นขวัญแขวนเมื่อโลกได้เผชิญมหันตภัยหลายครั้ง ปี ๒๐๐๔ สึนามิถล่มไทยและอีกหลายประเทศ ๒๐๐๘ พายุไซโคลนนาร์กีสถล่มพม่า ๒๐๑๐ แผ่นดินไหวที่เมืองหลวงของเฮติ และเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สึนามิถล่มญี่ปุ่น

องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า ในช่วงศตวรรษที่ ๒๑ อุณหภูมิบริเวณใกล้ผิวโลกสูงขึ้นเฉลี่ย ๑.๑ ถึง ๖.๔ องศาเซลเซียส เรียกสถานการณ์เช่นนี้ว่า “ภาวะโลกร้อน” ส่งผลให้เกิดสภาพภูมิอากาศแปรปรวน บางแห่งอากาศร้อนจัดและแห้งแล้งอย่างหนัก ในขณะที่บางแห่งฝนตกหนักติดต่อกันจนน้ำท่วมใหญ่ อย่างที่บ้านเมืองเรากำลังเผชิญอยู่

ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจาก“ความโลภของมนุษย์”ที่ไม่รู้จักพอ หลงตัวเลขทางเศรษฐกิจเร่งการผลิตภาคอุตสาหกรรมและคมนาคม แต่ความร่ำรวยกลับไปกระจุกตัวอยู่กับคนบางกลุ่มบางตระกูล ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกตกอยู่ในสภาพที่ยากจนข้นแค้น นี่คือมนุษย์เอาลัดเป

ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกตกอยู่ในสภาพที่ยากจนข้นแค้น นี่คือมนุษย์เอาลัดเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ยิ่งไปกว่านี้มนุษย์ยังใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล เช่น มนุษย์ผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาอย่างมหาศาล ในขณะที่ธรรมชาติใช้เวลาสร้างสมนับล้านปี น้ำมันที่เคยรองรับผืนแผ่นดินมาชั่วกัปชั่วกัลป์ ถูกมนุษย์สูบขึ้นมาใช้อย่างไม่บันยะบันยัง จนเกิดช่องว่างขึ้นภายใต้ผืนแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินยุบตัว เกิดรอยร้าว เกิดแผ่นดินไหว และสึนามิก็ตามมา รวมทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานและรถยนต์ไปทำลายชั้นบรรยากาศทำให้เกิด“ภาวะโลกร้อน”นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่มนุษย์เบียดเบียนธรรมชาติอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต

ถ้าธรรมชาติพูดได้ คงตะโกนก้อง “ทนไม่ไหวแล้วโว้ย !!”

ถึงเวลาที่ธรรมชาติทวงคืนความเป็นธรรมแล้วครับท่าน

เคยมีผู้รวบรวมสถิติไว้ว่า ตั้งแต่ปี ๑๙๕๐ เป็นต้นมา เกิดภัยธรรมชาติหนักขึ้นและถี่ขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับระยะก่อนหน้านั้น ที่สำคัญ มันหนักที่สุดและถี่ที่สุดในช่วง ๑๐ ปี ที่ผ่านมานี้เอง

เตรียมตัวรับวิบากกรรมที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์เองได้แล้วครับ มันจะมาอย่า

เตรียมตัวรับวิบากกรรมที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์เองได้แล้วครับ มันจะมาอย่างรุนแรงมากขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

ตรงกับพุทธฎีกาพยากรณ์ ว่า หลังกึ่งพุทธกาล (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐) สัตว์โลกจะพบกับความทุกข์ยากแสนเข็ญอันเกิดจากภัยธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์จะลดจำนวนลงเรื่อย ๆ จะมีคนตายมากกว่าเกิด ผู้ที่เคารพบูชาพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ระลึกถึงคุณบิดามารดา จะผ่อนคลายจากหนักหนาสาหัสเป็นบรรเทาเบาบางลงได้

เราเกิดในยุคนี้ ถือว่าเกิดมามีชะตากรรมร่วมกันครับ จะเลือกเดินทางไหน ก็สุดแต่ใจท่านเถิด จะได้พิสูจน์ให้เห็นจะ จะ ว่า เวรกรรมมีจริง บาปบุญมีจริง ไม่ต้องไปรอถึงชาติหน้าภพหน้าครับท่าน