Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

นํ้ามันปลากับนํ้ามันตับปลาแตกต่างกันอย่างไร และมีประโยชน์อะไรต่อร่างกาย?

ผมกำลังเข้าสู่วัยที่จำเป็นจะต้องสรรหาสิ่งดีๆให้แก่ร่างกายเพิ่มเติมบ้างแล้วล่ะครับ แต่พอคิดจะเลือกหามารับประทานบ้างก็ปวดหัวหนักซะแล้ว เพราะมีคนมากมายแนะนำให้หาซื้อ "นํ้ามันตับปลา" (Cod Liver Oil) มาบำรุงร่างกาย แต่ก็ดันไปเจอ "นํ้ามันปลา" (Fish Oil) เข้าไปอีก เลยงงไปกันใหญ่ว่าอะไรกันแน่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราได้ดีกว่ากัน

"นํ้ามันตับปลา" (Cod Liver Oil) และ "นํ้ามันปลา" (Fish Oil) มันคืออะไร ผลิตมาจากอะไร แล้วมันมีสรรพคุณด้านไหนที่สามารถช่วยบำรุงร่างกายของคนเราได้บ้าง ที่สำคัญอยากรู้จริงๆว่านํ้ามันทั้งสองชนิดนี้เป็นแหล่งอาหารที่จะให้สารหรือวิตามินอะไรแก่ร่างกาย???

ใครพอจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ก็ช่วยมาแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยๆให้แก่กันและกันในโอกาสนี้ด้วยเถอะครับ จะได้กุศลที่ยิ่งใหญ่แน่นอน เพราะผมเชื่อว่าน่าจะมีอีกหลายๆท่านที่ใคร่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แบบเดียวกับผมอยู่บ้างเป็นแน่

สาธุ...สาธุ

1 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 10 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    • น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) สกัดจากตับของปลาทะเล เช่นปลาคอด แฮลิบัท เฮอร์ริ่ง นิยมรับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเยื่อบุผิวให้เ���็นปกติ นอกจากนี้ยังมีวิตามินดี ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมรวมทั้ง ฟอสฟอรัสบริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ

    น้ำมันตับปลานั้นส่วนใหญ่จะมีปริมาณวิตามิน เอ และดี ในปริมาณที่สูง และได้น้ำมันด้วย หากได้รับวิตามินเกินขนาด โดยเฉพาะวิตามินเอและดี ก็อาจเกิดพิษจากการสะสมวิตามินเกินความจำเป็น โดยมีอาการความดันในสมองสูง ปวดศีรษะ หิวน้ำ และปัสสาวะบ่อย ฯลฯ เป็นผลข้างเคียง ที่เกิดจากการรับประทานเกินขนาด

    • น้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อ หนัง หัว และหางปลาทะเล อาทิ ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า น้ำมันปลามีกรดไขมันที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ โดยเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated Fatty Acid) หรือ PUFA 2 ชนิด ในกลุ่มโอเมก้า3 คือ

    - Eicosapentaenoic acid (EPA)

    - Docosahexaenoic acid (DHA)

    สำหรับประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า3 ในทางการแพทย์คือ สามารถลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด (ใช้ในปริมาณสูงถึง 2 กรัมต่อวัน)

    การใช้ลดการอักเสบในคนไข้โรครูมาตอยด์ที่มีอาการปวดข้อ การใช้เพื่อลดอาการคันและอักเสบในคนไข้โรคสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีอาการอักเสบร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงประโยชน์ของ DHA กับการพัฒนาสมองและดวงตา โดยมีการนำ DHA ไปเสริมในนมสำหรับทารก หรือหญิงมีครรภ์ การใช้ในโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ที่พบในผู้สูงอายุ

    จะปลาเล็ก..ปลาน้อย..ปลาตัวโต หากเรารับประทานปลาเป็นประจำ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจหรือไขมันอุดตันก็จะน้อยกว่าคนทั่วไป ที่สำคัญ ยังมีผลวิจัยว่าสาร DHA มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะในส่วนของความจำ และการเรียนรู้ เพราะสาร DHA จะเข้าไปเสริมสร้างความเจริญเติบโต ของปลายประสาทที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องซื้อปลาแพง ๆ มารับประทาน เพราะแค่ปลาสด ๆ ที่วางขายในตลาดแถวบ้าน เช่น ปลาทู ปลาตะเพียน ก็มีสารอาหารเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว

    รับประทานน้ำมันปลาอย่างไรจึงจะปลอดภัย

    1. บุคคลทั่วไป ควรรับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมทั้งอาหารที่มีกรด alpha – linolenic acid สูง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดธัญญพืช เต้าหู้ เป็นต้น

    2. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรรับประทานน้ำมันปลา ประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน

    3. ผู้ป่วยที่ต้องการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ควรรับประทานวันละ 2 – 4 กรัม

    * ก่อนตัดสินใจรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนเพื่อความปลอดภัย และพึงระวังว่าการรับประทานน้ำมันปลาขนาดสูง อาจทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลง

    ควรทานดีหรือไม่ ?

    อาหารเสริม คือ อาหารที่เสริมนอกเหนือจากอาหารมื้อหลักของเรา ส่วนใหญ่ใช้ในคนที่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

    แต่ถ้ารับประทานอาหารเพียงพอ และครบถ้วนแล้ว การทานอาหารเสริมก็ไม่จำเป็น (ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพงๆ)

    ในการสร้างเซลสมอง ร่างกายจำเป็นที่จะต้องใช้ไขมัน 2 ชนิดคือ Omega-3 และ DHA ซึ่งพบมากในน้ำมันปลา (และในอาหารอื่นๆอีกหลายชนิด) แล้วเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ DHA เพื่อสร้างเซลสมองต่อไป

    ซึ่งกระบวนการสร้างเซลสมองนี้ เกิดขึ้นในช่วงเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ขวบ (สมอง เติบโตช่วงทารก - 5 ขวบ ส่วนหัวใจ เติบโตช่วงทารก - 20 ปี) ดังนั้นคนที่อายุมากกว่านี้ กินไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก (แต่อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยลดไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ)

    ส่วนใหญ่จะใช้บำรุงเด็กเล็ก��� หรือตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยในอาหารเด็กหลายยี่ห้อ จะมีการผสมน้ำมันปลาลงไปด้วย

    แต่จากการศึกษาพบว่า น้ำมันปลามีส่วนช่วยเรื่องความจำได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้เด็กฉลาดกว่าปกติแต่อย่างใด และในเด็กเล็กๆ บางคนที่ไม่แข็งแรงก็อาจแพ้สารพิษจากน้ำมันปลาได้

    สมองที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงครับ ฉะนั้นทำร่างกายเราให้แข็งแรง ทานอาหารเพียงพอและครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้มีสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องเสียเงินไปซื้อที่ไหน จากนั้นเรื่องความจำและสมอง ให้หมั่นคิดบ่อยๆ ทำแบบฝึกหัด ยิ่งทำเยอะ ยิ่งเข้าใจ อ่านหนังสือ ไม่มีอะไรเกินความพยายาม

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้