คุณว่ากฎแห่งกรรมเป็นของศาสนาหรือไม่อย่างไร?

กฎแห่งกรรม................>ไม่..เป็นของ..ศาสนา..

กฏแห่งกรรม................>กฏ..ธรรมชาติ..เรื่องของเหตุ และผล ของการกระทำ..กรรม

กฏแห่งกรรม................>ไม่นับถือ..ศาสนา..ใช่ว่า..จะหนี"กรรม"การกระทำได้ ดั่งวงล้อแห่ง ธรรมจักร

วงล้อแห่ง..กรรม..ที่หมุนวนเวียนไม่มีวันจบสิ้น..เป้นไปตาม"ธรรมะ"ธรรมชาติสิ่งมีชีวิต

เรื่องนี้มองเผิ่นๆเหมือนเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้

แต่มองให้ดีผลจากกรรมเก่าก็รายล้อมรอบตัวเราเต็มไปหมดเลยค่ะ

เช่น บางคนไม่มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่แสนสะดวกสบายนี้

บางคนเกิดมาก็มีบ้านช่องโออ่าใหญ่โต บางคนก็มีสมองฉลาดปรางเปรื่องแต่เกิด

บางคนมีครอบครัวอบอุ่น บางคนขาดความอบอุ่น

เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครสร้างเสกให้อย่างไม่ยุติธรรม

แต่มีกฎตายตัวที่ใครทำอย่างไรก็ได้รับอย่างนั้น

หากอยากลองสังเกตว่าสิ่งที่ทำเพื่อการสละความโกรธ ความโลภ ความหลงนั้น

เช่น การทำทาน ถือศีล ภาวนา ทำแล้วให้ผลเป็นความสุขทั้งปัจจุบันและอนาคตหรือไม่

ก็ลองดูได้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ หาเป้าหมายที่ใกล้ตัวที่สุดหนึ่งคน

ถ้าจะให้ดีควรเป็นคนที่คุณรักเพราะอาการฝืนใจและลังเลใจจะไม่มี

แล้วซื้อขนม/อาหารบำรุงสุขภาพที่เขาชอบมาให้ โดยอย่าขออะไรแลกเปลี่ยน

หากเห็นเขากินหมดแล้วมีความสุข ใจคุณจะอิ่มเต็มขึ้นมาชั่วครู่

นี่เป็นเครื่องแสดงหลักฐานหนึ่งว่าบุญเป็นชื่อของความสุขค่ะ

ไม่ว่าชาติไหน ศาสนาใด หากให้โดยไม่หวังผลก็ได้ความสุขเหมือนกัน

ส่วนกรรมดีนี้จะให้ผลตอบแทนในรูปธรรมเมื่อไหร่และอย่างไรนั้น

หากไม่มีญาณก็คงยากที่จะทราบได้ค่ะ

แต่รู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าถ้าทำสิ่งดีๆอย่างต่อเนื่องโดยไม่โลภหวังผล

ผู้ให้จะรู้สึกสว่างเบา อิ่มเย็นจากข้างใน

เหมือนมีหลักประกันอุ่นใจเสมอว่าชีวิตข้างหน้าไม่มีเรื่องน่ากลัวรออยู่

เอาเป็นว่าถ้าสงสัยเรื่องกรรมวิบากเข้ามาดูได้ที่

www.dungtrin.com ผู้เขียนเสียดายคนตายไม่ได้อ่านค่ะ

ท่านอธิบายใช้ภาษาง่ายๆและเห็นภาพทีเดียวค่ะ

ครึ ครึ ครึ อจินไตย..

1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า

2. ญาณวิสัย วิสัยของผู้ได้ญาณ

3. กัมมวิบาก ผลจากกรรม

4. เรื่องของโลก ความคิดทางโลก

ทั้ง 4 อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า..

ไม่ควรคิด.. ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า

ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์

ตัวอย่างเช่น..กัมมวิบาก ผลของกรรม

คือ คนธรรมดาๆ(เน้นอ่ะ..) ย่อมอาจไม่รู้ว่า..

ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร

ทำไว้ตั้งแต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ

ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ

นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า

คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า..ไม่มี..(คำตอบแรก..หรือไม่)

เพราะฉะนั้น..

ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เมื่อไหร่ และอย่างไร(คำตอบ 2 อย่างไร ฮา..) คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้

ส่วนในแง่"ความเชื่อ"(แบ่บ..เชื่อหรือไม่ อะไรเทือกนี้ ฮา...วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยเยอะมาก)

นั่นหมายถึงเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ แต่..

สำหรับอจินไตย เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง* เกิดขึ้นจริง**

เพียงแต่ผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนเข้าไม่ถึง

จะไปบอกว่าเป็นแค่ความเชื่อได้อย่างไร(ฮา..คำตอบที่ 3 )

กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องธรรมดา หรือธรรมชาติ

คุณอาบน้ำ แล้วไม่มีกลิ่นตัว ก็เป็นไปตามก��¸Žà¹à¸«à¹ˆà¸‡à¸à¸£à¸£à¸¡

ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใดหรือไม่ก็ตาม

คุณก็จะได้รับผลของการกระทำของคุณอยู่เสมอ

กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป้น ความเชื่อ ของศานพุทธเท่านั้น

เป็นอุบาย ให้คนทำความดี ไม่ให้ทำความเลว...

ศาสนา อื่น ไม่มีความเชื่อแบบนี้

ศาสนาที่สอนเรื่องกฏแห่งกรรม มีเพียงศาสนาพุทธ

เพราะนั้น เรื่องกฏแห่งกรรมจึงเป็นของศาสนาพุทธเท่านั้น

อย่างกรรมฆ่าสัตว์ วัวควาย ก่อนตายก็จะร้องเสียงวัวควาย

สิ่งนี้ มีนาว่ามันเพียงจิตหลอนด้วยความกลัว และนึกถึงภาพวัวควายที่ตนเองฆ่าตาย ก็เลยร้องอย่างเสียสติ

แล้วเรื่องตายแล้วเกิดมาชดใช้กรรม ก็ยังเป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ เป็นลิขสิทธิเฉพาะที่ศาสนาอื่นไม่กล้าลอกเลียนแบบ