"ปัสสาวะบำบัด" ขอรับข้อคิดเห็น ความรู้ และประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกันหน่อยค่ะ?

การรวบรวมองค์ความรู้ เรื่อง ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy)

เขียนโดย นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์<br>นักวิชาการสาธารณสุข

ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) คือ การใช้ปัสสาวะของตัวเองเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค โดยไม่ใช้ยาและยังช่วยส่งเสริมสุขภาพด้วย

ประวัติของปัสสาวะบำบัด

ตำราไทยโบราณหลายเล่ม กล่าวถึงการใช้ปัสสาวะรักษาโรค ในพระวินัยปิฎกเขียนไว้ว่า พระภิกษุ��ฏิบัตินิสสัยสี่ ให้ฉันน้ำมูตรแช่ผลสมอเพื่อแก้โรคต่างๆ เมื่อพันปีก่อนคริสต์ศักราช ในคัมภีร์พระเวทย์ของฮินดู ถือว่าน้ำปัสสาวะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดื่มแล้วจะเป็นน้ำอมฤต ในตำราการแพทย์จีน เขียนขึ้นช่วง พ.ศ.586-754 อ้างว่าปัสสาวะเป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยทำให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น

พ.ศ.600 ปรินุส นักปราชญ์ชาวโรมัน แต่งตำราว่าด้วยปัสสาวะเป็นยารักษาพิษต่างๆ และใช้ประโยชน์ในการฟอกหนัง ย้อมสีผ้า

พ.ศ.1782-1832 ญี่ปุ่นยุคอิมเป็ง ดื่มน้ำปัสสาวะในการรักษาโรค

การศึกษาส่วนประกอบของน้ำปัสสาวะ

ปกติปัสสาวะเป็นกรดอ่อนๆ จะมีสีเหลืองอ่อนๆ ไปจนถึงขาวใส ถ้าปริมาณปัสสาวะน้อย ปัสสาวะก็จะข้นและมีสารในนั้นมากกว่าปัสสาวะใส ขึ้นกับอาหารที่รับประทานและสุขภาพของคนนั้น มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ทำให้มีกลิ่นได้ ปัสสาวะของคนปกติจะมีรสเค็มๆ ถ้าปัสสาวะเข้มมากอาจมีรสขมนิดๆ ซึ่งสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปยังมีผลต่อสีและรสของปัสสาวะด้วย ในคนที่เป็นโรคดีซ่านปัสสาวะจะมีสีเหลืองขมิ้นกระทั่งเป็นสีน้ำตาล คนที่เป็นโรคไตหรือทางเดินปัสสาวะก็อาจขุ่นหรือเป็นสีแดงถ้ามีเม็ดเลือดแดงออกมากับปัสสาวะด้วย

จากการวิจัยของ ดร.ฟารอน นักชีวเคมี พบสารต่างๆ ในปัสสาวะ 95% เป็นน้ำ 2.5% เป็น urea และ 2.5% เป็นสารอื่นๆ เป็นส่วนผสมของเกลือแร่ เกลือ ฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุ้มกัน ซึ่งแยกตามส่วนประกอบ ในน้ำปัสสาวะ 100 cc. มี

Urea nitrogen 682 ม.ก.

Urea 1,459 ม.ก.

Creatinine nitrogen 36 ม.ก.

Creatinine 97.20 ม.ก.

Uric acid nitrogen 12.30 ม.ก.

Uric acid 36.90 ม.ก.

Amino nitrogen 9.70 ม.ก.

Ammonia nitrogen 57 ม.ก.

Sodium 212 ม.ก.

Potassium 137 ม.ก.

Calcium 19.50 ม.ก.

Magnesium 11.30 ม.ก.

Chloride 314 ม.ก.

Total sulphate 91 ม.ก.

Inorganic sulphate 83 ม.ก.

Inorganic phosphate127 ม.ก.

ที่น่าสนใจในปัสสาวะมีสารอื่นๆ ได้แก่ เอนไซม์: Amylase (diastase), Lactic dehydrogenase (LDH), Leucine amino-peptidase (LAP) และ Urokinase (ใช้ละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตันเฉียบพลัน) ฮอร์โมน: Catecholamines, 17–Catecholamine, Hydroxy–steroids, Erythropoietin, Adenylate cyclase, Prostaglandins, Growth hormones, ฮอร์โมนเพศ, อินซูลิน ฯลฯ

แต่นักวิจัยเชื่อว่ายังมีสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากในปัสสาวะ

ดูเพิมที่ลิงค์นะครับ

1. อัตรายคงไม่มีอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปดื่มของคนอื่น ปกติปัสสาวะไม่มีเชื้อโรค มีแต่ของเสียส่วนเกินที่ร่างกายขับออกมา (กรณีไตปกติ) กับส่วนที่ไม่เกิน (กรณีไตผิดปกติ)

2. ประโยชน์ อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม เท่าที่นึกออกดื่มน้ำเยอะ ๆ มันจะได้ไปกินอย่างอื่นให้น้อยลงมั้ง น้ำหนักลด โอกาสรับสารพิษลดลง และอาจได้น้ำตาลบ้างกรณีคุณเป็นเบาหวาน ^_^

3. ถ้าเชื่อมากรบกวนไปดื่มน้ำพลังแสงอาทิตย์ น้ำพลังแม่เหล็ก น้ำป้าเช็ง น้ำหมักชีวภาพสมุนไพรพันปีพันชนิด โสมพันปี บัวหิมะ และฝึกวิชาไหมฟ้าต่อครับ ที่ว่ามามีคนบอกว่าดีเยอะเหมือนกันนะครับ อ้อเมื่อวานได้ข่าวกล้วยร้อยหวีด้วยอย่าลืมไปกราบครับเป็นศิริมงคล ไม่เชื่ออย่าลบหรู่ครับ

ข้อสามผมแหย่เล่นครับ ปกติผมจะกวนประสาทแบบนี้แหล่ะ แค่ยกตัวอย่างให้เห็นว่าของที่คนว่าดีน่ะ มีอีกเยอะครับ ถ้าเชื่อโดยไม่มีเหตุผล วันนึงคงไม่ต้องกินอย่างอื่น

เอ้าจะลองยกข้อค้านวิธีที่คุณคิดนะครับ

1. ถ้าเรื่องผู้ป่วยมะเร็งเป็นเรื่องจริง (นั่นคือเขาดีขึ้นด้วยปัสสาวะจริง ๆ) ตัวคุณเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายหรือเปล่าครับ ของที่มันดีกับเขารู้ได้ไงว่าดีกับคุณ ยกตัวอย่างคนเป็นเบาหวานปล่อยให้น้ำตาลสูงมาก ๆ จะช็อคได้ เมื่อกินยาลดน้ำตาลแล้วอาการจะดีขึ้น ทำไมคุณไม่กินมั่ง? เขากินแล้วดีนะครับ

2. ถ้าเรื่องผู้ป่วยมะเร็งเป็นเรื่องไม่จริง (ไม่ใช่ว่าคุณโกหก แต่เขาดีขึ้นด้วยปัจจัยอื่น) เวลาคุณสังเกตเขา คุณได้ดูละเอียดขนาดไหนเช่น เขาเริ่มดื่มปัสสาวะพร้อมอะไรบ้าง เช่น เลิกทานยามะเร็ง (ซึ่งมักจะทำให้อาการแย่ลง แต่อายุยืนขึ้น) เลิกเครียด เริ่มทำใจ เริ่มสวดมนต์ เริ่มยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง มันดีจากปัสสาวะแน่หรือเปล่า หรือดีจากอย่างอื่น หรือดีจากทุกอย่างเป็นต้น

ส่วนตัวเชื่อว่าถ้าคุณเริ่มดื่ม คุณก็คงจะดีขึ้นจริง ๆ แหล่ะ อย่างที่บอกผลเสียไม่น่ามี (อย่าไปทำให้คนที่ไม่เชื่อเห็นละกัน เขาอาจรู้สึกแปลก ๆ)

คนที่จะทำแบบนี้ได้ต้องเชื่อสนิทใจ (จะเป็นรองก็แค่คนที่กินอุจจาระตัวเองได้เท่านั้นละมั้ง) เมื่อเชื่อสนิทใจไม่ว่าทำไรก็รู้สึกดีทั้งนั้นแหล่ะครับ

ที่สำคัญเมื่อเชื่อสนิทใจ และมันแปลกแล้ว ไอ้คนทำมันมักจะพยายามชักนำให้คนอื่นทำตามด้วยน่ะสิ (ถ้ามีคนทำมากขึ้นจะได้แปลกน้อยลงจริงไหมครับ)

ผลของการดื่มปัสสาวะ

ตามสถิติ การดื่มปัสสาวะรักษาโรคไม่เคยปรากฏว่ามีอันตรายให้กับใคร มีแต่จะช่วยให้ความป่วยด้วยโรคต่างๆ รวมทั้งโรคร้าย โรคเล็กน้อยที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ ความเครียดไม่สบายหายหมดไป แถมเงินทองก็ไม่เสีย โรคก็หายโดยไม่ต้องเที่ยวหาหมอให้เสียเวลา หมดเงินไปเหมือนก่อนๆ เพราะสิ่งนี้มีอยู่ในตัวเรา เป็นตำราของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงโปรดประทานให้คนป่วยทั้งหลายช่วยลบล้างโรคภัยไข้เจ็บ เพราะฉะนั้นการหลอกลวงจึงไม่มี

แต่ก็มีหมอแผนปัจจุบันจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดปัญญาธิคุณกลัวขาดผลประโยชน์ในอาชีพของตัว จึงกล่าวโจมตีหาว่าปัสสาวะเป็นของเสีย เป็นของเน่าเหม็น มีพิษมีโทษกินแล้วเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ตรงกันข้าม คนป่วยที่ดื่มปัสสาวะแต่ละคนมีแต่หายป่วย แถมร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทุกคน เงินก็ไม่เสีย ผลข้างเคียงก็ไม่มี ยาแผนปัจจุบันนั้นไม่ใช่ว่าไม่ดี ดีแต่ทานมากไม่ได้ถ้าทานนานๆไป โรคเกิดไม่หายแถมมีผลข้างเคียงตามมา ดีไม่ดีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

เช่นคนป่วยจำนวนมากที่ตายไปเพราะหมอให้ยาผิด ให้ยามากเกินไปเป็นผลทำให้คนป่วยต้องสูญเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก อย่างน่าเสียดาย และเศร้าใจ หรืออาจต้องล้มป่วยหนัก ทำให้ต้องหมดเงินทองไปอย่างมากมายแล้วหมอก็แก้ไม่ตก นี่เป็นกรรมของคนป่วยทุกวันนี้ที่รับกัน ส่วนหมอนั้นมีแต่ได้ลูกเดียว ไม่มีเสีย ได้อะไร ก็ได้ความรู้ประสบการณ์ ได้เงินทองรวยเป็นเศรษฐี ทุกวันนี้ขอจงอย่าได้เจ็บป่วยหนัก ป่วยหนักเมื่อใดจนเมื่อนั้น ถ้าไม่มีเงิน มีทางเดียวรอความตายเท่านั้นเอง ดูไปแล้วน่าเห็นใจคนยากจนจริงๆ

ผู้เขียนอุตส่าห์รวบรวมเขียนขึ้นเป็นหนังสือนี้ขึ้นมาก็เพื่ออยากจะช่วยเหลือคนยากจน และคนที่เจ็บป่วยนั้นเอง เพราะทุกวันนี้จะหาหมอที่มีเมตตาธรรมต่อคนป่วยนั้นยากมาก มีแตà¹��จะค้ากำไรเกินควรกับคนป่วย เราจะเห็นได้ว่าคนจนไม่มีสิทธิเข้าโรงพยาบาลเอกชนเพราะไม่มีเงินนั่นเอง แม้กระทั่งโรงพยาบาลของรัฐทุกวันนี้แพงไม่แพ้โรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน คนป่วยที่ไม่มีเงิน หรือเป็นอนาถาได้แต่ยาราคาถูกๆ ขอไปทีเท่านั้น พอทานยาแล้วไม่ดีขึ้นก็ต้องปลงใจ รอความตายเพราะหมอจะสั่งให้กลับบ้านด้วยเหตุนี้เอง ผู้เขียนได้เห็นผลของคุณค่าของปัสสาวะที่สามารถช่วยรักษาความป่วยของคนเจ็บที่สิ้นหวังแล้วได้หายป่วยกันไปเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนจึงใคร่ขอความร่วมมือจากคนเจ็บป่วยที่หายป่วยด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะมาช่วยกันเชิญชวนบอกข่าวต่อๆกันไป ให้คนเจ็บป่วยทั้งหลายหันหน้ามาดื่มปัสสาวะกันให้มาก ๆ

เรื่องการดื่มน้ำปัสสาวะนี้ สำหรับเมืองไทยเรายังใหม่อยู่ ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แถมยังมีผู้ไม่รู้จริงในเรื่องสรรพคุณ และคุณค่าของปัสสาวะแทนที่จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมกลับมองในแง่ลบไปเสียหมด

พูดถึงการดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคนี้นอกจากจะประหยัดเงินประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านอื่นแล้ว ยังช่วยประหยัดทรัพยากรธรรมชาติอีกมาก ในอนาคตข้างหน้าค่ารักษาความเจ็บป่วยมีแต่จะสูงขึ้นๆ คนยากจนไม่มีเงินแล้วจะทำอย่างไร ถ้าป่วยหนักเมื่อใด มีหวังรอตายเท่านั้นถ้าไม่รอตายก็ต้องเที่ยวกู้หนี้ยืมสินมารักษา บางคนต้องหมดที่ดิน หมดบ้าน แถมยังต้องแบกหนี้สิ้นติดตัว ถึงกับมีคนจำนวนมาก ได้พูดว่า ทุกวันนี้ไม่มีอะไรโหดเหี้ยมเท่ากับโรงพยาบาล เขาบอกว่าถูกโจรปล้นยังเหลือบ้านเหลือที่อยู่อาศัย ถูกไฟไหม้บ้านยังมีที่ดินเหลือ ถ้าถูกโรงพยาบาลคิดบัญชี จะหมดทุกสิ่งทุกอย่างแถมสร้างหนี้สินให้ลูกหลานแบกต่ออีกด้วย แล้วตัวเองก็ตายอย่างทุกข์ทรมาน à��ªà¹ˆà¸§à¸™à¸¥à¸¹à¸à¸«à¸¥à¸²à¸™à¸à¹‡à¸•à¹‰à¸­à¸‡à¸¡à¸²à¸™à¸±à¹ˆà¸‡à¸„อตกใช้หนี้ นี่คือสังคมทุกวันนี้

ท่านผู้มีปัญญาธิคุณทั้งหลาย หากปรารถนาอยากจะสร้างมหากุศลให้กับตัวเอง ถ้าท่านเห็นแจ้งในคุณประโยชน์ของปัสสาวะช่วยรักษาโรคได้ดังที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้ท่านทั้งหลายมาช่วยกันระดมกำลังช่วยเผยแพร่ในการดื่มปัสสาวะให้เป็นที่รู้ในสังคมทั่วไป ใครเจ็บป่วยจะได้มาพึ่งพาอาศัยปัสสาวะรักษาโรคก็หาย เงินก็ไม่เสีย

นานมาแล้วเจอคุณลุงอายุเจ็ดสิบแปดสิบปีเคยเล่าให้ว่า คุณลุงแข็งแรงอย่างนี้เพราะดื่มปัสสาวะตัวเองเป็นประจำ เราก็ไม่คิดว่าคุณลุงโกหก ได้ยินบทความที่บอกเรื่องการดื่มปัสสาวะตนเองเป็นยามาเหมือนกัน จำไม่ได้ว่าที่ไหน อย่างไรควรคำนึงถึงความสะอาด น่าจะมีหลักการ และข้อยกเว้น ไม่ใช่ทุกคนสามารถดื่มน้ำปัสสาวะตนเองเป็นยาได้ โดยเฉพาะหากเป็นโรคเกี่ยวกับระบบไต หรือมีภาวะโลหิตเป็นพิษ คิดว่านะ เพราะแม้จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่จะปนอยู่ แต่ของเสียอื่นๆก็มี หากรับของเสียที่ร่างกายขับออกไปเข้ามาอีกมากๆก็คงไม่ดีแน่

พุทธองค์ใช้ปัสสาวะดองผลสมอเป็นยารักษาโรค เจ้าอาวาสวัดหนึ่งเคยเล่าวว่าเวลาธุดงค์ก็ใช้ดื่มถ้าหาน้ำไม่ได้ แม้แต่หลวงพ่อชาก็เคยกล่าวเรื่องนี้เช่นกัน

เทคนิคในการเลือกดื่มเบื้องต้นให้ใช้ปัสสาวะท่อนกลาง สมมติว่าปัสสาวะครั้งหนึ่งนาน 10 วินาที 3 วินาทีแรกยังไม่เอา ให้เริ่มเก็บปัสสาวะหลังจากนั้น และตอนท้ายใกล้หมดก็ไม่เอา

ช่วงแรก ๆ ลองดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ปัสสาวะไม่เข้มนัก โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนอาจต้องเพิ่มปริมาณน้ำ เพราะเสียน้ำมากไปกับเหงื่อ

พี่สาวและหลาน(ลูกของพี่สาว)ได้ไปปฏิธรรมและทราบเรื่องนี้ เมื่อกลับมาบ้าน

ได้ทดลองดื่มเพื่อบำบัดอาการป่วยที่ต่างก็มีคนละเล็กน้อย เช่น พี่สาวของดิฉัน

นอนไม่หลับ มาตั้งแต่หลังคลอด นอนยาก ตื่นไว กลายมาเป็นปัญหาเมื่อกลับ

ไปทำงานหลังจากเป็นแม่บ้านมาสิบกว่าปี เธอเล่าว่า

เมื่อดื่มอย่างต่อเนื่องอาการดีขึ้นไม่มีผลเสีย เธอบอกว่า รักษาศีลแปดทานอาหาร

เพียง 2 มื้อ หลับสบายค่ะ โทรมาชวนให้ดิฉันทำดื่มบ้าง ดิฉันไม่ได้ทดลองค่ะ

แต่ต่อมาเมื่อถามเธอบอกว่าไม่ได้ดื่มแล้วค่ะ แต่ก็ย้ำว่าดีจริงๆนะ ดิฉันก็ไม่ได้ลอง

อยู่จนแล้วจนรอดน่ะค่ะ

เคยอ่านบทความของสนธิ

ก็หน้าสนใจอยู่ครับ

แต่ยังไม่กล้าลอง

ในสมัยพุทธกาลใช้น้ำปัสสาวะดองยาฉันครับ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ในพระวินัย ท่านเรียกว่า "น้ำมูตรเน่า" ครับ จะมีอะไรมาดองร่วมบ้างนั้นไม่ทราบรายละเอียดครับ ต่อมาก็คงมีคนนำมาใช้ครับ เท่าที่ผมเคยอ่านมีคนถามหมอแผนปัจจุบันนี้ หมอไม่แนะนำครับ เหตุที่คนไข้อาการดีขึ้นนั้นอาจจะนะ อาจเป้นที่กำลังใจก็ได้ครับ

ผมเคยดูรายการ ที่โจน จันได บ้านดินเคยให้คำอธิบายไว้ ถึงวิธีการดื่มและรายละเอียด

พอดีคุณถามผมเลยหาจาก กูเกิลมาให้ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=09zDerupTHg

ทราบว่าเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำค่ะ

และมีหนังสือวางแผงที่ร้านซีเอ็ดบุ๊คเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

พอดีตอนนั้นไม่ได้หยิบมาอ่านเพราะอยู่ในช่วงมีรอบเดือนค่ะ

ก็เลยรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย

รอฟังจากผู้รู้อีกทีค่ะ