Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

คิดยังไง เรื่องบริจาคอวัยวะ เพราะคนส่วนมากจะกลัว?

ช่วยแสดงความคิดเห็นกันหน่อย ว่าคนส่วนใหญ่ กลัวทำมั้ย

5 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • pop
    Lv 7
    8 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    สร้าง"บุญ"รับปีใหม่ไทย บริจาคอวัยวะต่อชะตาชีวิตคน

    เทศกาลปีใหม่ไทยนี้ หลายครอบครัวคงชักชวนกันเข้าวัดทำบุญ ฟังธรรมะ เทศนา เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ มีสมาธิ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ รวมไปถึงเจ้ากรรมนายเวร ตามความเชื่อของชาวพุทธ แต่การทำบุญอีกอย่างที่ถือว่าได้บุญกุศลอย่างแรงกล้าเฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือการให้ชีวิตใหม่แก่ผู้ที่เดือดร้อน และมีความบกพร่องทางร่างกาย

    เชื่อหรือไม่ ว่าทุกวันนี้มีผู้ป่วยที่อวัยวะล้มเหลว และรอการปลูกถ่ายอวัยวะกว่า 2,000 คน แม้อวัยวะภายนอกจะปกติทุกอย่าง แต่อวัยวะภายในของพวกเขากลับตรงกันข้างโดยสิ้นเชิง อีกทั้งทัศนคติในการบริจาคอวัยวะ หลายคนยังมีความหวาดกลัว ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย จึงเปิดแถลงข่าว เพื่อแจ้งถึงผลการดำเนินงานและอุปสรรคของการทำงาน ในงาน "ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยพบสื่อมวลชน" โดย น.พ.วิศิษฎ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

    น.พ.วิศิษฎ์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย กล่าวว่า ศูนย์รับบริจาคอวัยวะก่อตั้งมานานถึง 13 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สะบักสะบอมที่สุด เนื่องจากผู้บริจาคอวัยวะมีน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้รอรับบริจาค

    "เมื่อปี 2536 สภากาชาดไทยมีอายุครบ 100 ปีพอดี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ ร.พ.จุฬาลงกรณ์ ได้ทำการปลูกถ่ายหัวใจและตับจากผู้ป่วยสมองตาย นับจากนั้นถือเป็นการเปิดศักราชการปลูกถ่ายอวัยวะ ตับ หัวใจ และไต เพิ่มขึ้น ซึ่งวัตถุประสงค์ของเรา คืออยากจะให้มีการรณรงค์การบริจาคอวัยวะให้เพียงพอกับจำนวนผู้รอรับบริจาค สภากาชาดไทยได้รณรงค์มาโดยตลอด เมื่อปี 2540 เศรษฐกิจไม่ดี ศูนย์ต้องซื้อหัวใจจากต่างประเทศ ซึ่งอวัยวะจากผู้เสียชีวิต เราจะถนอมอวัยวะซึ่งจะเก็บในอุณหภูมิสูงถึง 196 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 5 ปี ตอนนี้มีเหตุการณ์ไม่สงบ ทั้งระเบิด ไฟไหม้ ผมคิดว่าอนาคตอาจจะมีการปลูกถ่ายผิวหนังต่อไป" ผอ.ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย กล่าว

    หากจะมองถึงสถิติผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและเนื้อเยื่อตั้งแต่ปี 2537-2550 มีผู้ปลูกถ่ายไตสูงสุดถึง 1,308 ึคน รองลงมา ดวงตา 590 คน และลิ้นหัวใจ 329 คน ซึ่งปี 2537-2539 ถือเป็นปีที่มืดมนที่สุดโดยไม่ทราบสาเหตุ อวัยวะสำหรับการปลูกถ่ายหายากมาก แต่ปี 2540 จำนวนผู้รับบริจาคเริ่มเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อปี 2546 มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะมากถึง 345 คน และกลับลดลงอีกครั้ง เนื่องจากความต้องการของคนรับบริจาคมีมากกว่า��วัยวะที่บริจาคนั่นเอง

    "เมื่อปี 2542 มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะมากถึง 60,216 คน และลดลงมาเรื่อยๆ เมื่อปี 2549 มีจำนวน 35,585 คน และปี 2550 ตอนนี้มีจำนวน 5,085 คน ซึ่งผมก็คาดหวังที่จะให้คนไทยรู้เรื่องการบริจาคอวัยวะมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยด้วยกัน เพราะตอนนี้ศูนย์ของเราเจออุปสรรคมากมาย ทั้งญาติผู้เสียชีวิตปฏิเสธที่จะบริจาค เพราะไม่เคยรู้เรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะมาก่อน ไม่รู้ถึงประโยชน์และวิธีการบริจาคอวัยวะ บางคนไม่เข้าใจคำว่า 'สมองตาย' และไม่แน่ใจว่าตายหรือเปล่า กลัวว่าแพทย์จะเอาอวัยวะไปให้ผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์

    "จริงๆ แล้วคำว่า สมองตาย คือถ้าหัวใจหยุดเต้นไป 5 นาที สมองส่วนกลางจะตายลง แต่ก้านสมองเป็นส่วนที่ควบคุมการหายใจจะทนที่สุด หากก้านสมองตาย ทุกส่วนของร่างกายก็ตาย ไม่สามารถฟื้นได้ ซึ่งตรงนี้แพทย์ผู้รักษาเองก็จะต้องบอกกับญาติด้วย ว่าผู้ป่วยมีอาการสมองตายหรือเปล่า บางครั้งแพทย์และพยาบาลก็ไม่ได้ขอรับบริจาคจากญาติของผู้ป่วยด้วยหลายสาเหตุ อย่างกลัวว่าจะรบกวนญาติผู้เสียชีวิต เป็นต้น" น.พ.วิศิษฎ์ กล่าว

    แม้จะมี��ารรณรงค์เกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะมากเพียงใด แต่ทัศนคติของการบริจาคอวัยวะยังมีผู้ไม่เข้าใจเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระบวนการบริจาคอวัยวะ กลัวว่าจะตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไป หรือบริจาคแล้วกลัวว่าชาติหน้าอวัยวะจะไม่ครบ และเรื่องศาสนาซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการบริจาคเช่นเดียวกัน

    น.พ.วิศิษฎ์ เล่าถึงกระบวนการดำเนินงานในการรับบริจาคอวัยวะ ว่า 1.โรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่ายรับบริจาคอวัยวะจะแจ้งมายังศูนย์รับบริจาคอวัยวะ 2.แพทย์จะตรวจวินิจฉัยสมองตายตามเกณฑ์แพทยสภา 3.แพทย์พยาบาลจะขอรับบริจาคอวัยวะจากญาติ 4.ดูแลผู้บริจาคอวัยวะ เพื่อถนอมอวัยวะเหล่านั้นให้ผู้ป่วย

    5.ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ แจ้งข้อมูลของผู้บริจาคอวัยวะแก่โรงพยาบาลที่เป็นทีมผ่าตัดของแต่ละอวัยวะ เพื่อประเมินผู้บริจาคอวัยวะ โดยคนหนึ่งจะบริจาคได้ 4 อย่าง คือ หัวใจ ตับ ไต ปอด 6.โรงพยาบาลที่มีผู้รอรับหัวใจ ปอด ตับ ไต ติดต่อและประเมินผู้รอรับแต่ละคน 7.ทีมผ่าตัดแจ้งความพร้อมในการรับอวัยวะแก่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ เพื่อสรุปผลและเตรียมทีมผ่าตัดนำอวัยวะออก

    8.กำหนดเวลาทำการผ่าตัดร่วมกับกำหนดการเดินทาง เนื่องจากหัวใจจะสามารถเก็บได้แค่ 4 ชั่วโมง ถือว่าวิกฤติสุด ต้องรีบทำการผ่าตัดด่วน ปอดและตับเก็บได้ 6 ชั่วโมง ไต 12 ชั่วโมง 9.ทำการผ่าตัดนำอวัยวะไปปลูกถ่าย 10.แจ้งผลการปลูกถ่ายอวัยวะมายังศูนย์รับบริจาคอวัยวะ 11.ศูนย์รับบริจาคอวัยวะให้การสนับสนุนและขอบคุณหน่วยงานและบุคคลผู้เกี่ยวข้อง คือญาติผู้บริจาคอวัยวะ โรงพยาบาลที่มีผู้บริจาค โรงพยาบาลที่เป็นทีมผ่าตัด หน่วยงานที่สนับสนุนการเดินทาง

    แหล่งข้อมูล: http://www.volunteerspirit.org/node/94 p
  • 8 ปี ที่ผ่านมา

    ในความคิดส่วนตัว อวัยวะของเราถ้าเราสามารถนำมาต่อเติมให้ชีวิตใหม่ หรือว่า สามารถนำมาช่วยชีวิตคนอื่นได้ก็น่าที่จะทำเพราะว่า เราตายไปแล้วร่างกายเราก็เปล่าประโยชน์ รอเวลาที่จะเผา หรือว่า ฝังกลบลงดินกลายเป็นปุ๋ยไป สิ่งที่ทำให้กลัวน่าจะเป็นความเชื่อที่ว่า ถ้าเราบริจาคชิ้นส่วนอวัยวะไป เกิดไปชาติหน้า ร่ายกายเราอาจจะไม่ครบ 32 ซึ่งเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ถ้าในทางศาสนาสามามารถนำมาหักล้างวิธีคิดแบบนี้ได้ การที่จะมีอวัยวะที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการจริงๆน่าจะเยอะกว่านี้ครับ

  • 8 ปี ที่ผ่านมา

    ดิฉันคิดว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ยังไงเราก็ไม่สามารถนำสิ่งใดติดตัวไปได้

    แล้วจะหวงไว้ทำไม มาทำความดีครั้งสุดท้ายในชีวิตไม่ดีกว่าหรือคะ

    จะกลัวอะไร เราทำไปเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นะคะ

    แหล่งข้อมูล: เป็นผู้บริจาคคนหนึ่ง
  • 8 ปี ที่ผ่านมา

    การบริจาคอวัยวะเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเรามีสิทธฺ์เต็มที่ที่จะทำเช่นนั้น ที่บอกว่าคนส่วนมากกลัวก็ต้องถามในประเด็นที่ว่ากลัวนั้น กลัวสิ่งใด ผมเป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจจะทำเช่นนั้นเมื่อจากโลกนี้ไป สำหรับผมผมเป็นคริสเตียนการบริจาคเช่นนี้ไม่ได้มีห้ามไว้ เนื่องจากคริสเตียนไม่ได้เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ เชื่อเพียงว่าเมื่อตายแล้วไปได้2ทางคือ สวรรค์และนรกเท่านั้นและอยู่ที่นั่นนิรันดร์และเราจะได้รับกายใหม่(ซึ่งผมก็ไม่ได้จินตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไร?)แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วละก็ทำไปเถอะครับ ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ

  • Urai
    Lv 5
    8 ปี ที่ผ่านมา

    สนับสนุนอยู่แล้ว ต่อชีวิตผู้อื่นได้น่าจะตายอย่างมีความสุข

    แต่ผมไม่เคยไปกดดันใครว่าต้องทำ

    ผมเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องของคน ๆ เดียว

    ในครอบครัวต้องยอมรับได้ หรือต้องคุยให้รู้เรื่องกันก่อน

    ถ้าคนที่รักคุณรับไม่ได้ คุณช่วยคนหนึ่งแต่คนใกล้ตัวจะเป็นทุกข์มากก็น่าจะต้องหาวิธีแก้ไขก่อนครับ

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้