Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

ท่านเข้าใจคำว่า ศึกษาพาณิชย์ ในวงการศึกษาอย่างไร?

ครู อาจารย์ ขาดซึ่งจิตสำนึกของความเป็นครู จนไม่เหลือแล้ว ทำให้เป็นลำดับที่ 8 ท้ายสุดของ กลุ่ม

3 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 8 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    ดิฉันได้มีโอกาสในการพูดคุยกับนักเรียนในระดับประถมศึกษาถึงมัธยมปลาย

    เรื่องซ้ำ ๆ กันทุกปี ผลก็ได้ปรากฏให้เห็นกันเช่นที่ผู้ถามทราบแล้ว

    " ศึกษาพาณิชย์ " นั้นดิฉันเข้าใจว่า ส่งผลถึงความสามารถในการรับรู้ ความแตกฉาน

    ในวิชาจากเด็กเล็ก ๆ ไปถึงนักศึกษาปริญญาตรี เรียนแบบเข้าชั้นเรียนครบเป็นผ่าน

    มองหางานเมื่อใกล้จบ ไม่ใช่สอบถามตัวเองว่า จะเป็นครูแล้ว จบไปจะสอนอย่างไร

    ด้วยจิตใจของครู หายากค่ะ มีแต่คำถามว่าจะได้งานไหม การแข่งขันสูง

    ยกตัวอย่างที่พบ ในรายที่เมื่อจะไปสู่การศึกษาระดับปริญญาโท อ่านภาษาอังกฤษไม่

    เข้าใจ ตีความภาษาไทยไม่แตก จ้างแปล จ้างตีความ จ้างสอน ดิฉันรับงานมีรายได้

    แต่ไมสนุก ดิฉันไม่ได้มีความรู้มากแต่เมื่อรับงานก็ทุ่มใจอ่าน อ่านแล้วก็คิดว่า

    หากคนเรามีความพยายาม มีความรักในสิ่งที่ทำ และเป็นสิ่งที่จะใช้เป็นอาชีพ พวกเขา

    ควรจะทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อจบการศึกษา คนคนนี้จะทำหน้าที่สอน จะเป็นอาจารย์ไป

    อยู่ในตำแหน่งสูง ต่อไปก็จะเข้าสู่ขั้นนักบริหารการศึกษา ..ที่ปราศจากจิตวิญญาณของ

    นักการศึกษา

    ศึกษาพาณิชย์ จึงเป็นจุดจบของจิตวิญญาณครูอย่างแน่นอน

    ความเข้าใจจากครูนอกระบบ *.* ผิดถูกอย่างไรเป็นความคิดเห็นของดิฉันเท่านั้นค่ะ

  • pop
    Lv 7
    8 ปี ที่ผ่านมา

    การมองโลกในแง่ดี เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยที่สุดในข้อดีของมันคือการได้สร้างกำลังใจให้กับตัวผู้มองเอง แต่การมองโลกในแง่ร้ายอย่างร้ายที่สุด ผู้มองอาจจะคาดเดาได้ว่า มันคงไม่ร้ายไปกว่าที่คิด สิ่งเหล่านี้กลายเป้นสิ่งที่ชวนให้คนเราใช้เป้นหนึ่งในการตัดสินใจหลายๆอย่าง หนึ่งในการตัดสินใจที่จะเดินหน้า หรือหยุดเดิน คงไม่ต่างอะไรกับการศึกษาเชิงพาณิชย์ศิลป์ในยุคปัจจุบันที่ในช่วงก่อนจบการศึกษา หน้าที่ของผู้สอน(ผมไม่ใช้คำว่าอาจารย์) และผู้เรียน (ผมไม่เรียกว่านักศึกษา) จะต้องการแปรเปลี่ยนสถานะภาพของผู้สอนให้กลายเป็น เจ้าของสินค้า+ ผู้บริโภค และผู้เรียนกลายเป็นผู้ออกแบบหรือผู้ผลิต จริงๆแล้วการปฏิบัติในรูปแบบนี้น่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่าเสีย แต่มาถึงยุคปัจจุบัน ในยุคโลกาภิวัฒน์ สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ใช่ผลดีอีกต่อไป เมื่อการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันจะบอกว่าเราฝึกฝนวิธีคิด เราฝึกฝนการคิด เราฝึกฝนให้คิด แต่ในทางปฏิบัติ (จากประสบการณ์) มันเกิดขึ้นไม่ได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันที่ไม่มีโอกาสกำหนดมารตฐานนักศึกษาที่เข้ามาศึกษา ในแง่ของการคัดเลือกผู้เรียนเพื่อเข้ามาศึกษาต่อก่อนที่จะออกไปผลิตงานป้อนสู่ระบบงานออกแบบสร้างสรค์เชิงการสื่อสาร

    สิ่งหนึ่งที่ทางสถาบันควรจะรับรู้และจำให้ขึ้นใจอยู่เสมอคือ การพัฒนาทรัพยากรในแง่ของความคิดก่อน ซึ่งผมกล้าฟันธงว่ามีน้อยมาก ผู้สอนอาจจะยังใช้วิธีการสอนหรือความรู้ที่ได้สะสมมาเป็นเวลายาวนาน จึงทำให้ผู้เรียนได้รับสิ่งเก่าๆตลอดเวลา แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อผู้สอนทราบว่าทางสถาบันไม่มีการสนับสนุนให้ผู้สอนในการพัฒนาตัวเอง ผู้สอน(เมื่อไม่อยากจะทำงานเหมือนประชาชนปกติ) จึงควรจะสร้างเสริมลักษณะนิสัยให้ตัวเองมีภูมิความรู้และภูมิต้านทาน (การกระแหนะกระแหน) เพื่อพร้อมที่จะให้ความรู้ต่อผู้เรียน เพราะผู้เรียนในยุคปัจจุบันมีคุณลักษณะนิสัยบางอย่างที่ผิดแปลกออกไปจากสมัยที่ผู้สอนเป็นนักเรียน เพราะปัจจุบันโรคสมาธิสั้น ขี้เกียจ ใจร้อน ไม่สนใจ ติดสิ่งเร้า เบาปัญญา และห้าวเป้ง และอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นผู้สอนจึงต้องทำการบ้านอย่างหนักทั้งทางสติปัญญา และทางอารมณ์ และแน่นอนว่าจะต้องสร้างรูปแบบวิธีการสอนเพื่อดึงใหผู้เรียนเหล่านั้นรู้สึกสะท้านฟ้าให้ได้

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยความเคารพคำสอนของครูบาอาจารย์และผู้สั่งสอน รวมทั้งด้วยความเคารพต่อพี่ๆ และอาจารย์ทุกท่านที่สอนอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา ผมเองผลิตข้อเขียนนี้ขึ้นมา ทั้งๆที่รู้ถึงความเสี่ยงที่จะโดนไม่เห็นด้วย โดนแอบด่า โดนแอบค่อนขอด หรืออะไรทั้งหลาย ผมเองยังคงมีความเคารพในตัวตนของอาจารย์ทุกๆท่าน พี่ๆทุกๆคน และเคารพในการสอนในรูปแบบที่ทุกคนได้วางระบบเอาไว้อย่างสุดซึ้ง ผมเองเป็นเพียงหนึ่งในตัวประกอบของวงการออกแบบ ที่เป็นเหมืนอกระจกบานเล็กๆที่คอยสะท้อน แสง สะท้อน ภาพ สะท้อนความเป้นจริง เพียงเพื่อต้องการ ให้สังคมของการออกแบบเกิดมาตรฐานในระดับ จะทำให้สายอาชีพของงานออกแบบเป้นที่ยอมรับในสังคมแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย และไม่ตํ่ากว่า 30 ปี ทีเรามีวิชาชีพนักออกแบบอย่างจริงจัง อาชีพดังกล่าวยังคงเป็นเพียงภาพแห่งความฝันจนถึงวินาทีที่เรามีเพื่อนออนไลนืมากกว่าเพื่อนไม่ออนไลน์ นั่นแปลว่า โลกได้มีการพัฒนา (ถึงแม้จะไม่ใช่ในการพัฒนาที่ดีมากมาย) แต่ในทางกลับกัน การเรียนการสอนวิชาออกแบบ กลับไม่ได้พัฒนา ในเรื่องของแนวความคิด วิธีคิด และความคิด มากไปกว่า วิธีการเลย ผมเชื่อว่า ผุ้สอนคงจะเข้าใจและอยากทำ แต่อาจจะเป็นเรื่องของระบบ แต่สำหรับผมเชื่อว่า มนัเป็นเรื่องของการที่เราคิดจะเปลี่ยนแปลง หรือคิดจะให้มันผ่านไปวันหนึ่งวันหนึ่ง

    ในทางกลับกัน นักศึกษาเอง ต้องโตให้สมวัย และไม่ปัญญาอ่อน รวมทั้งเข้าใจซะทีว่าการเรียนหนังสือเป็นสิ่งจำเป็น การมีวินัยในการเรียนไม่ใช่การที่จะมานั่งเคร่งเรียน ดังนั้นถ้าไม่อยากเรียนหรือไม่ตั้งใจ ช่วยกลับบ้านแล้วไปทำอะไร ก็ไป อย่ามาเสียเวลาและเสียเงิน อย่าบอกว่าพ่อแม่บังคับให้เรียน หรือจะมายุ่งอะไรกับตัวผม/หนู แต่จงจำไว้ว่า ถ้าคุณจะเรียนจบแล้วเป็นนักออกแบบ แล้วถ้ายังไม่ตั้งใจเรียน ก็ขอร้องว่าอย่าทำให้สังคมงานออกแบบที่มันดีดี ต้องเสื่อม ถึงคุณจะเป็นหนึ่งเสื่อมจากเด็กนับพัน แต่มันก้อเสื่อมอยู่ดีจำไว้ ช่วยอย่ามาทำให้มันสกปรก ทุกวันนี้ลูกค้าก็ทำให้งานออกแบบเชิงพาณิชยืไร้รสนิยมพอแล้ว สังคมของงานออกแบบ คือสังคมใหญ่ ไม่ใช่แค่คนทำงานเท่านั้น นักเรียน นักศึกษาด้วย เราไม่ได้ต้องการให้สังคมเรามีการออกแบบ มีงานออกแบบที่สวยงามไปหมด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่อยากจะให้เข้าใจในภาพปกติด้วยปัญญาที่ไม่ต้องสูงมากนักว่า ถ้าคุณจ้างนักออกแบบทำงาน เชื่อเถอะว่าเรารู้ดีกว่าคุณ ขอเพียงคุณมีข้อมูลให้พร้อมและรู้ว่านักออกแบบคนไหน บริษัทไหนเหมาะกับคุณ จงไปหา และนำข้อมูลที่คุณมีครบครันไปให้ แล้วคุณจะได้งานที่ดี นักศึกษาก้เหมือนกันการเข้ามาเรียนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จงตั้งใจเรียน ถ้าไม่เรียน ก็เลิกเรียน กลับบ้าน ไปทำอะไรก็ไป และจงเป็นตัวของตัวเองที่ไม่ต้องติสส์มากหรอก เพราะอาจารย์ทุกท่านเค้าผ่านมาหมดแล้ว มันไม่ได้ยากอะไร

    เปลือก ไม่มีได้ ถ้าเราเข้าใจที่จะเรียนรู้กันและกัน ยอมรับและให้เกียรติ ต่อกัน เพียงเท่านี้ อะไรๆมันจะดีขึ้น ถ้าเราตั้งใจทำด้วยกัน

  • 8 ปี ที่ผ่านมา

    ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นกับครู แต่เกิดขึ้นจากระบบที่ใช้ในการกำหนด

    ครูให้ครูเป็นไปอย่างนั้นที่ส่งผลกระทบถึง กระบวนการสอน

    เพราะในหลายครั้งที่มีการ สำรวจแล้วพบว่า เด็กเรียนด้อย กระบวนการ

    ที่แก้ไข ก็มุ่งตรงไปที่ครู มิใช่หรือ พอเมื่ออยากให้มีการปรับปรุงครู

    ก็ยัดเยียดความเป็นครูที่แก่กล้าวิชา ให้กับครู อาทิ การให้ทำการประเมิน

    การสอน การนำเสนอผลงาน การชี้วัดผลงานและหลายๆอย่าง ที่คิดเป็น

    มุมกลับหรือไม่ว่า ยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับครู ส่วนนึง แต่อีกส่วนนึง

    ครูเองบางคนก็ขา��¸”คุณภาพ ที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อนำไปสู่การสอนให้กับ

    เด็กที่ดีได้

    ส่วนเรื่องการใช้คำว่า ศึกษาพาณิชย์นั้น คุณเองอาจหมายถึงการเปิด

    โรงเรียนกวดวิชา ที่มองว่าในเวลาทำไมไม่สอน ซึ่งหากมองตรงจุดนี้

    การวิเคราะห์วิจัยนั้น พบว่า เป็นเพราะแรงจูงใจในชม.น้อยกว่าการที่ได้

    ออกไปสอนต่างสถานที่ที่อาจมีแรงจูงใจมากกว่า

    แหล่งข้อมูล: ป๋าอิ๊กคิว สมาร์ทตี้-จี
ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้