Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้
ความเห็นเกี่ยวกับการปกครองฯ?
ท่านคิดอย่างไร กับคำว่า การปกครองแบบทุกคนได้รับสิทธิเสมอภาค ( ขอเลี่ยงกับการใช้คำที่ตรงเกินไปน่ะค่ะ)
ท่านคิดว่า ความเท่าเทียมกันในสังคมมีไหม ถ้าจะมองประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ เราก็ได้ที่เค้าบอกว่า ต้องการให้ทุกคนเสมอภาค แต่ก็ยังมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นอยู่ดี ... อย่างคำกล่าวของ ท่านมหาตมะ คานธี ได้กล่าวว่า ... ความเสมอภาคไม่มีในกลุ่มชน ... แล้วท่านหล่ะ คิดว่าอย่างไร .. ไม่ได้ปลุกระดมทางความคิดน่ะค่ะ แต่สงสัยว่าคนอื่นเค้าคิดอย่างไรบ้าง หรือว่าเราคิดอยู่คนเดียว ...
อธิบายเพิ่มนิด : อย่างเช่น เค้าบอกว่าให้ทุกคนรวยเท่ากัน ประมาณนี้แต่ยังไง ตัวคนบอกก็ยังรวยกว่าอยู่ดี ไม่เห็นจะกระจายลงมาเลยนี่นา ... งงไหม ...
3 คำตอบ
- Kid DLv 51 ทศวรรษ ที่ผ่านมาคำตอบที่โปรดปราน
ความเสมอภาค
คนเรามักจะเรียกร้องความเสมอภาคหรือความเท่าเทียมกันอยู่เสมอและมักพิจารณา จากแง่ของตนเอง คือเอาตัวเองหรือผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก จึงมักจะเห็นแต่ความเสียเปรียบของตัวเอง ถ้าเมื่อไรตัวเป็นฝ่ายได้เปรียบก็มักจะมองเห็นเหตุผลต่าง ๆ นานาว่าที่เป็นเช่นนั้นเป็นความเสมอภาคแล้วหรือเป็นความยุติธรรมดีแล้ว ความเสมอภาคจึงเป็นเรื่องที่คนเราเห็นไม่ตรงกัน เช่น คนในฝ่ายเกษตรก็มักอ้างว่ารัฐบาลไม่ให้ความเสมอภาคกับฝ่ายอุตสาหกรรมเพราะ ดูแลฝ่ายอุตสาหกรรมมากกว่า เงินทองที่สนับสนุนก็มากกว่า ฝ่ายอุตสาหกรรมก็อ้างว่ารัฐบาลได้ให้ความเท่าเทียมกันแล้ว เพราะฝ่ายอุตสาหกรรมทำเงินให้รัฐมากกว่าจึงควรได้รับความดูแลสนับสนุน มากกว่า หากให้เท่าฝ่ายเกษตรก็เป็นการไม่เท่าเทียมกัน หรือไม่ยุติธรรม เรื่องความเท่าเทียมกันนี้เราอาจพิจารณาได้หลายแง่
ความเท่ากัน กับ ความเท่าเทียมกัน
เมื่อพูดถึงความเท่าเทียมกัน สิ่งแรกที่คนเรามักนึกถึงก็คือความเท่ากันอย่างจำนวนเลข หรือรูปทรงเรขาคณิต เช่น เมื่อพูดว่ารูปสามเหลี่ยม ๒ รูปมีพื้นที่เท่ากัน แปลว่า ถ้ารูปหนึ่งมีพื้นที่ ๖ ตารางนิ้วอีกรูปหนึ่งก็ต้อง ๖ ตารางนิ้ว และถ้าเท่ากันทั้งด้านและมุมด้วยก็เรียกว่า เท่ากันทุกประการ
คนเรามักนึกว่าความเท่าเทียมกันคือเท่ากันทุกประการ เช่น ถ้าพ่อรักลูกเท่ากัน เมื่อให้เงินคนหนึ่ง ๒ บาทก็ต้องให้อีกคนหนึ่ง ๒ บาท จะต้องปฏิบัติต่อลูกทุกคนเหมือนกันหมด เช่น เรียนหนังสือก็ต้องโรงเรียนเดียวกัน
ความเท่ากันที่พิจารณาในแง่ปริมาณหรือแง่จำนวนนี้ มีผู้เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะความเท่ากันเช่นนั้นกลายเป็นความไม่เท่ากัน เช่น ถ้าพ่อให้ลูกสองคนกินอาหารเท่ากันคนหนึ่งอาจอิ่มแต่อีกคนหนึ่งไม่อิ่ม คือได้ความอิ่มไม่เท่ากัน ถ้าจะให้อิ่มเท่ากันต้องให้กินไม่เท่ากัน
หรือถ้าคนหนึ่งทำงานมากกว่าอีกคนหนึ่งก็ต้องได้รับส่วนแบ่งมากกว่า ถ้าให้เท่ากันก็เป็นความไม่เท่ากัน ความเท่ากันอย่างแรกแทบจะไม่มีความหมายอะไรเพราะเป็นแต่อุดมคติ เนื่องจากคนไม่ได้เท่าเทียมกันหรือเหมือนกันทุกประการ ถ้าจะให้เกิดความเท่าในความต่างนี้ก็ต้องพิจารณาในแง่สัดส่วน เราอาจเรียกความเท่าแบบแรกว่า ความเท่ากันตามตัวเลข (numerical equality) และความเท่าแบบหลังว่า ความเท่ากันแบบสัดส่วน (proportional equality) หรือเราอาจเรียกความเท่าแบบหลังว่า ความเท่าเทียมกัน
นอกจากความไม่เท่าเทียมกันในเชิงปริมาณ คือทำสิ่งเดียวกันในปริมาณไม่เท่ากัน ควรได้รับผลต่างกันแล้ว เมื่อเราพิจารณาแง่คุณสมบัติหรือคุณภาพ ความไม่เท่าเทียมกันยังมีอีกแง่หนึ่งคือ ความไม่เหมือนกัน การปฏิบัติต่อสิ่งที่เหมือนกันอย่างเดียวกันนับเป็นการให้ความเท่าเทียมกัน แต่การปฏิบัติต่อสิ่งที่ต่างกันอย่างเดียวกันอาจจะไม่เป็นความเท่าเทียมกัน เช่น ถ้าพ่อให้ตุ๊กตาชนิดเดียวกันแก่ลูกสาวและลูกชายอาจจะไม่เท่าเทียมกัน แต่ถ้าพ่อให้ตุ๊กตาหุ่นยนต์แก่ลูกชายและให้ตุ๊กตาบาร์ บีแก่ลูกสาวอาจเป็นความเท่าเทียมกัน แม้ราคา���าจจะต่างกันบ้างเล็กน้อย
เรื่องคุณสมบัติที่ต่างกันนี้ถ้าเราพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะมีที่ต่าง ที่อาจนำมาพิจารณาในแง่การให้ความเท่าเทียมกันได้อีกมาก ความเท่าเทียมกันในความต่างทางคุณสมบัตินี้ก็ต้องมีหลักในการพิจารณา ซึ่งมิใช่เฉพาะโดยสัดส่วนเชิงปริมาณแต่เพียงอย่างเดียว
ความเท่าเทียมกันต้องมีเกณฑ์ตัดสิน
การปฏิบัติต่อคนสองคนอย่างไม่เท่าเทียมกันจะต้องมีเหตุผลหรือเกณฑ์ตัดสิน ที่ทำให้การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากไม่มีเหตุผลที่ยอมรับได้จะกลายเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทันที เช่น การให้ตำราแก่คนที่เรียนหนังสือแทนที่จะให้แก่คนรูปหล่อย่อมเป็นการให้ที่ มีเหตุผล เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความหล่อทำให้อ่านตำราได้ดีกว่าความมีการศึกษา
การปฏิบัติเช่นนี้แม้มีเหตุผล แต่ก็เกิดปัญหา คือจะต้องยอมรับความไม่เท่ากันของคนในบางเรื่อง และถ้าเป็นเช่นนี้หากเราไม่สามารถหาความเท่ากันได้เลยสักเรื่องเดียว คำพูดที่ว่าทุกคนเท่ากันก็ไม่มีความหมาย หรือ "ทุกคนเท่ากัน" จะมีความหมายว่า "ทุกคนเท่าเทียมกัน"
ความไม่เท่ากันถ้าเป็นเรื่องธรรมชาติก็อาจรับได้ง่าย เช่น ตัวสูง ตัวเตี้ย สวย ไม่สวย ขาว ดำ แต่ก็ยังมีปัญหาว่าความไม่เท่ากันเช่นนี้เป็นเหตุผลให้ปฏิบัติต่อคนเหล่า นี้ไม่เท่ากันด้วยหรือไม่ นอกจากนั้น ยังมีความไม่เท่ากันทางสังคม เช่น รวย จน การศึกษาสูง การศึกษาต่ำ เหล่านี้ควรจะต้องให้เท่ากัน เพื่อจะปฏิบัติต่อทุกคนเท่ากัน หรือว่าจำเป็นต้องต่างกันแล้วปฏิบัติต่อคนที่ต่างกันไม่เหมือนกันเพื่อจะ ให้เกิดความเท่าเทียมกัน
การยอมรับความไม่เท่ากันซึ่งทำให้เกิดการปฏิบัติต่างกันนี้ทำให้เกิด เอกสิทธิ์ (privilege) ขึ้นได้ เพราะการยอมรับหลักการที่ว่า "ต้องปฏิบัติต่อทุกคนเท่ากันเว้นแต่มีเหตุผลพอ" เมื่อถามว่า "เหตุผลอะไรเป็นเหตุผลพอ" ก็อาจตอบว่า คือลักษณะต่างที่เป็นอยู่ "เหตุผลพอ" ก็จะกลายเป็นเหตุผลของคนอ้าง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอาจไม่รับว่าเป็น "เหตุผลพอ" ก็ได้
หลักการดังกล่าวนั้นแม้เราจะยอมรับก็จะมีปัญหาอีก คือหลักนั้นเป็นแต่รูปแบบ เช่นเดียวกับฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ ไม่มีเนื้อหา คือไม่บอกว่าอะไรบ้างที่เป็นเหตุผลซึ่งจะใช้อ้าง และใช้อ้างแก่ใคร เช่น สำหรับพวกพุทธิปัญญานิยม (intellectualism) อาจเห็นว่าเป็นเหตุผลที่ดีที่จะให้คนที่ใช้ปัญญามีเวลาว่างและได้ค่าตอบแทน สูงมากกว่าคนที่ใช้กำลัง แต่พวกมาร์กซิสต์คงไม่เห็นด้วยว่า เป็นเหตุผลที่เพียงพอ
ในอดีตมนุษย์เราได้อ้างสิ่งหลายสิ่งที่เป็นเหตุผลในการรับสิทธิพิเศษ เช่น วรรณะ ตระกูล ฐานะทางเศรษฐกิจ และอีกฝ่ายหนึ่งถูกห้ามมิให้มีสิทธิ เช่น ศูทรไม่มีสิทธิเรียนพระเวท ทาสไม่มีสิทธิฟ้องคดี คนจนไม่มีสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมือง
เมื่อพิจารณาในทางตรงข้าม การให้ทุกคนมีสิทธิเท่ากันทุกเรื่อง ซึ่งดูเหมือนเป็นอุดมคติของความเท่ากัน ก็อาจทำให้เกิดอนาธิปไตยขึ้นได้ เช่น คนมีการศึกษากับไม่มีการศึกษามีสิทธิสอนในมหาวิทยาลัยเท่ากัน คนสามารถเกี้ยวพาราสีกันได้โดยไม่ต้องดูว่าใครแต่งงานแล้วหรือยังโสดอยู่ คนขับรถปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับพวกขี้เมาคือ ดื่มเหล้าตลอดเวลา
ความเท่ากันในเรื่องโอกาส
ความไม่เท่ากันซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เท่ากันอาจจะดูยุติธรรม แต่หลักการนี้จะเป็นหลักการที่ไม่ยุติธรรมถ้าหากคว��มไม่เท่ากันนั้นเกิดจาก ความมีโอกาสไม่เท่ากัน เช่น ถ้าคนที่มีสมรรถภาพพอ ๆ กัน ได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอย่างเดียวกัน โอกาสที่จะมีลักษณะต่าง ๆ เหมือน ๆ กันก็มาก แต่ความไม่เท่ากันอาจเกิดจากโอกาสที่ไม่เท่ากัน เช่น คนที่ฉลาดมาก แต่ครอบครัวยากจนมาก ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ก็อาจได้รับการพิจารณาอย่างเดียวกับคนที่โง่โดยธรรมชาติ เพราะในที่สุดเขาจะตกไปอยู่ในกลุ่มนั้น ส่วนคนที่ฉลาดไม่มาก ได้รับการศึกษาดี มีโอกาสได้เรียนกับครูดี มีตำราดี มีเวลาว่างที่จะใช้อ่านหนังสือมาก ครอบครัวอยู่ในสังคมที่มีคนฐานะสูง และเป็นที่รู้จักของสังคม คนผู้นี้จะกลายเป็นคนที่ได้รับการปฏิบัติดีกว่าคนแรกเพราะโอกาสดีกว่า
ปัญหาก็คือไม่มีสังคมใดเลยที่คนมีโอกาสเท่ากัน แม้แต่โอกาสในธรรมชาติก็ยังไม่เท่ากัน เช่น ถ้าต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่หนึ่ง ต้นอื่นก็ขึ้นตรงนั้นไม่ได้ สังคมก็เช่นกัน ถ้าคนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี คนอื่น ๆ ก็เป็นไม่ได้ แม้จะเลี้ยงดูและให้การศึกษาเหมือนกันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีโอกาส เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าจะพูดว่ามีโอกาสในแง่ทฤษฎีก็คงเป็นโอกาสที่ไม่มีความหมายเพราะไม่เป็น จริงในการปฏิบัติ ยิ่งกว่านั้นเมื่ออยู่ในสังคมบางคนมีโอกาสเป็นผู้จัดการชีวิตผู้อื่น แต่บางคนอาจเป็นผู้ถูกจัดการแทบจะทุกเรื่อง ถ้าความเท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้และไม่เกิดขึ้นจริงเช่นนี้ ความเท่ากันหรือแม้แต่ความเท่าเทียมกันจะกลายเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนเรา หรือไม่
โอกาสซึ่งไม่มีทางเลือกกับโอกาสที่จะเลือก
ความพยายามที่จะให้โอกาสจะเกิดได้ก็ด้วยการเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูปสังคม ซึ่งหากจะให้เกิดความเท่าเทียมกันทางโอกาสอย่างสมบูรณ์อาจต้องทำตามข้อเสนอ ของเพลโต คือ รัฐจัดการในเรื่องโอกาสทั้งหมดตั้งแต่โอกาสที่จะเกิด โอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ โอกาสที่จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างเดียวกัน โอกาสที่จะได้รับการศึกษาเหมือนกันทุกประการ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วความเหมาะที่ได้จะทำอะไรและได้รับอะไรก็จะต้องมา จากความสามารถของตน รัฐก็จะจัดให้ตามที่เห็นว่าสมควรแก่ความสามารถ จะเลือกเอาเองตามใจชอบไม่ได้
ความเท่ากันหรือเท่าเทียมกันเช่นนี้จะนำไปสู่ความไร้เสรีภาพ คือ ต้องได้ตามที่ควร และต้องทำตามที่ถูกกำหนดโดยถือเป็นหน้าที่ ความยุติธรรมก็คือ การทำตามหน้าที่ ไม่ก้าวก่ายกัน ความเท่าเทียมกันชนิดนี้ยากที่จะให้เกิดขึ้นได้ หรือถึงเกิดขึ้นได้ก็ยากจะมีผู้ยอมรับ เพราะต้องสูญเสียเสรีภาพไป เว้นแต่คนที่ขาดโอกาสอยู่แล้วอาจเห็นดีด้วยเพราะได้โอกาสเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ถ้าจะให้เกิดความเท่าเทียมกันจริง ๆ ในยุคต่อ ๆ ไปอาจจะต้องมีการคัดพันธุ์ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ด้านพันธุวิศวกรรม ซึ่งก็จะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย พึงระลึกว่าความเท่ากันไม่ใช่คุณค่าชนิดเดียวที่มนุษย์ถือว่าดี
คนสมัยนี้มิได้ต้องการความเหมือนกันทั้งหมด หรือเหมือนกันทุกประการ อาจจะต้องการเพียงให้เหมือนกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นคือมีความเท่าเทียมกันแต่ไม่ต้องเท่ากันทุกประการ คือแม้จะถือเอาความเท่ากันเป็นจุดหมาย แต่ก็รู้ว่าเข้าถึงไม่ได้ และก็ไม่ได้ถือว่าความไม่เท่ากันเป็นสิ่งไม่ดีจนยอมรับไม่ได้ เพียงแต่ต้องการขจัดความไม่เท่ากันที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอเท่านั้น ดังนั้น หากความเท่ากันทำให้ต้องเสียโอกาสในการเลือกไป มนุษย์ก็อาจไม่ต้องการโอกาสที่เท่ากันเช่นนั้น เพราะมนุษย์จะมีความเป็นตัวของตัวเองหรือเป็นอิสระอย่างแท้จริงก็ด้วยการ ที่ตนมีโอกาสเลือกที่จะคิดหรือทำ
เพราะต้องยอมรับความไม่เท่ากัน หลักความเท่ากันจึงต้องมีอยู่
หลักความเท่ากันแม้เป็นจุดหมายก็เป็นอุดมคติและปฏิบัติไม่ได้หรือในกรณีที่ ปฏิบัติได้ก็อาจไม่เกิด และทุกหนทุกแห่งเราเห็นแต่ความไม่เท่ากัน แต่ถึงกระนั้นเราก็กำหนดหลักความเท่ากันในคว��มไม่เท่ากันได้แม้จะมีปัญหา เรื่อง "เหตุผลเพียงพอ" ก็ตาม ถ้าเช่นนั้นเราไม่ต้องพูดถึงหลักความเท่ากันจะมิดีกว่าหรือ
ยิ่งมีความไม่เท่ากันหลักความเท่ากันยิ่งจำเป็น มิใช่จำเป็นเพราะจะต้องให้ทุกสิ่งเท่ากันตามหลักนั้น แต่จำเป็นเพราะจะได้ทำให้ความไม่เท่ากันไม่เป็นไปตามอำเภอและไร้หลัก แต่จะยอมให้ความไม่เท่ากันเป็นสิ่งที่ถูกต้องได้เฉพาะเมื่อมีเหตุผลเพียงพอ ดังนั้น ใครที่จะทำอะไรที่ไม่มีความเท่ากันก็จำต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้ได้ กรณีใดที่อธิบายไม่ได้หรืออธิบายได้ไม่ชัดเจนพอก็ต้องให้ความเท่ากัน หรือพยายามให้เกิดความเท่ากันให้มากที่สุด
เหตุผลที่จะมาอธิบายความต่างก็ต้องเป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับความต่างแล้ว ชี้ความต่างนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งจะทำให้ต้องปฏิบัติต่อบุคคลอย่างแตกต่างด้วย ต้องเป็นเหตุผลของเรื่องนั้นและปรากฏอยู่จริง ไม่ใช่เหตุผลที่อุปโลกน์ขึ้น เช่น การที่นาซีอ้างว่าอารยันเป็นพวกสร้างอารยธรรมและเซมิติกเป็นพวกทำลาย อารยธรรม ตราบใดที่ยังโต้แย้งเหตุผลนั้นได้ ความไม่เท่ากันก็เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
สิ่งที่น่าจะให้เท่าเทียมกันได้
ในสังคมปัจจุบันคนเท่าเทียมกัน คือ มีความเท่ากันมากขึ้นในหลาย ๆ เรื่องและมีความพยายามที่จะทำให้ความต่างลดลง และแม้หลักความเท่ากันจะไม่มีเนื้อหา คือเป็นรูปแบบ (form) แต่ก็อาจจะลองพูดถึงเนื้อหาบางเรื่องที่น่าจะอยู่ในรูปแบบดังกล่าวได้ เช่น สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาหรือการคำนึงถึงจากรัฐเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นการตัดอคติหรือความลำเอียงในการปฏิบัติของสังคมต่อบุคคลในสังคม เรื่องอื่น เช่น ความเท่าเทียมกันที่จะได้รับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ข้อนี้แม้ไม่อาจขจัดความเท่าเทียมกันได้แม้เพียงในเรื่องการอุปโภคบริโภค แต่ก็เป็นการพูดถึงโอกาสที่จะเท่ากันในระดับหนึ่ง คืออย่างน้อยสังคมประกันว่าบุคคลในสังคมจะได้รับสิ่งจำเป็นพื้นฐานเท่ากัน ถึงระดับที่กำหนด
ความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ก็อาจพูดถึงได้ เช่น สิทธิในการเลือกตั้งซึ่งถือว่ามาจากสิทธิแห่งความมีเสรีภาพโดยธรรมชาติของ มนุษย์ ความเท่าเทียมกันที่จะได้รับความนับถือจากทุกคนในฐานะที่เป็นคนก็เป็นสิ่ง ที่น่าจะคิดได้ กล่าวคือ คนอาจไม่ได้รับความยกย่องในฐานะเป็นคน คือไม่ถูกปฏิบัติอย่างสัตว์หรือวัตถุ เช่น ไม่กำหนดความแตกต่างว่าคนมีความเท่าเทียมกันในการพัฒนาศักยภาพของตนอย่าง สมบูรณ์ แต่คนขาว คนดำ และคนผิวเหลืองแตกต่างกัน การพัฒนาตนอย่างสมบูรณ์จึงเหมือนกันหรือใช้วิธีเดียวกันไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น
เราอาจต้องการพัฒนาสังคมให้บุคคลเท่าเทียมกันในเรื่องต่าง ๆ ถึงระดับหนึ่ง แม้จะไม่ถือว่านั่นเป็นความเท่ากันก็ตาม ปัญหาของการพัฒนาจะอยู่ที่ต้องหาเหตุผลให้ชัดว่า ความไม่เท่ากันนั้นเป็นความไม่เท่ากันในเรื่องอะไรแน่ มีสาเหตุจากอะไร มีเหตุผลอะไรที่จะให้เกิดความเท่ากันในเรื่องนั้น และจะสามารถยกระดับให้พัฒนาไปสู่ความเท่ากันอย่างสมบูรณ์ได้ถึงระดับใด หากเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ไม่ชัดเจนพอ เราก็อาจหลงประเด็นและแก้ปัญหาไม่ถูกจุดได้
แหล่งข้อมูล: ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๖๘, มกราคม ๒๕๔๐ - นายริดLv 41 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
à¸à¸²à¸à¸à¸³à¸à¸²à¸¡à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢à¸à¸¶à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸£à¸à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸´à¸à¹à¸à¸¢à¸à¸µà¹à¸¡à¸µà¸«à¸¥à¸±à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸±à¸à¸à¸µà¹
1.à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸à¸¡à¸µà¸à¸³à¸à¸²à¸à¸à¸à¸´à¸à¹à¸à¸¢(popular sovereignty)à¸à¸µà¹à¸«à¸¡à¸²à¸¢à¸à¸¶à¸
à¸à¸à¸°à¸à¸²à¸à¸à¸¡à¸µà¸à¸³à¸à¸²à¸à¹à¸à¸à¸²à¸£à¹à¸¥à¸·à¸à¸à¸à¸¹à¹à¸à¸à¸à¸£à¸à¸à¹à¸¡à¹à¸§à¹à¸²à¸à¸°à¹à¸à¹à¸à¸à¸¹à¹à¸à¸à¸à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢(à¸à¸´à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸à¸±à¸à¸´),
à¸à¸¹à¹à¸à¸£à¸´à¸«à¸²à¸£(à¸à¸à¸°à¸£à¸±à¸à¸¡à¸à¸à¸£à¸µ)à¹à¸¥à¸°à¸à¸¹à¹à¸à¸±à¸à¸ªà¸´à¸(à¸à¸¸à¸¥à¸²à¸à¸²à¸£)à¹à¸¥à¸°à¸¢à¸±à¸à¸à¹à¸à¸à¸à¸³à¸«à¸à¹à¸²à¸à¸µà¹à¸à¸£à¸§à¸à¸ªà¸à¸
à¹à¸«à¹à¸à¸³à¸«à¸à¹à¸²à¸à¸µà¹à¸à¸²à¸¡à¸à¸§à¸²à¸¡à¸à¹à¸à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸à¸«à¸²à¸à¹à¸¡à¹à¸à¸³à¸à¸²à¸¡à¸à¹à¸ªà¸²à¸¡à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¹
2.à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸à¸à¹à¸à¸à¸¡à¸µà¹à¸ªà¸£à¸µà¸ าà¸(liberty)à¹à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸°à¸à¸³,à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸¢à¸¹à¹à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸
à¹à¸¡à¹à¸à¸±à¸à¸à¹à¸à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢à¸à¸µà¹à¸à¸³à¹à¸«à¹à¸à¸¹à¹à¸à¸·à¹à¸à¹à¸à¸·à¸à¸à¸£à¹à¸à¸
3.à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸à¸¡à¸µà¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸à¸ าà¸(equity)à¹à¸à¸¨à¸±à¸à¸à¸´à¹à¸¨à¸£à¸µà¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¹à¸à¸¡à¸à¸¸à¸©à¸¢à¹à¸à¸¶à¹à¸à¸à¸¸à¸à¸à¸à¸¡à¸µà¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸
ภาà¸à¹à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¹à¸à¸¡à¸à¸¸à¸©à¸¢à¹,à¹à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¸à¸´à¸à¹à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸°à¸à¸³,à¹à¸¡à¹à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¹à¸¡à¹à¸«à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸à¸³à¸£à¹à¸²à¸¢à¸à¸¹à¹à¸à¸µà¹à¸à¹à¸à¸à¹à¸
หรืà¸à¸à¹à¸à¸¢à¸à¸§à¹à¸²à¹à¸¡à¹à¹à¸à¹à¸«à¸¡à¸²à¸¢à¸à¸§à¸²à¸¡à¸§à¹à¸²à¸¡à¸µà¸£à¸²à¸¢à¹à¸à¹à¹à¸ªà¸¡à¸à¸à¸±à¸,มีวุà¸à¸´à¸ าวะà¹à¸à¹à¸²à¸à¸±à¸,à¹à¸à¹à¸¡à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¹à¸
มà¸à¸¸à¸©à¸¢à¹à¸à¸µà¹à¸à¹à¸à¸à¹à¸à¹à¸£à¸±à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸¹à¹à¸¥à¹à¸«à¸¡à¸·à¸à¸à¸à¸±à¸à¹à¸à¸ªà¹à¸§à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¸à¸³à¹à¸à¹à¸à¸à¸·à¹à¸à¸à¸²à¸à¸à¸£à¸±à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸à¸¹à¸à¸à¹à¸²à¸¢à¹à¸§à¹à¸²à¹à¸à¹à¸à¸à¸£à¸£à¸¡
4.หลัà¸à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢(rule of law)
5.หลัà¸à¹à¸ªà¸µà¸¢à¸à¸à¹à¸²à¸à¸¡à¸²à¸à¹à¸à¹à¸£à¸±à¸à¸à¸±à¸à¹à¸ªà¸µà��¢à¸à¸à¹à¸²à¸à¸à¹à¸à¸¢(majority rule minority right)
à¹à¸à¸«à¸¥à¸±à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸£à¸à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸à¸ าà¸à¸à¸±à¹à¸à¹à¸à¹à¸à¸«à¸¥à¸±à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸²à¸à¸à¸·à¹à¸à¸à¸²à¸à¹à¸«à¹à¹à¸à¸´à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¹à¸à¸à¸£à¸£à¸¡à¹à¸à¸ªà¸±à¸à¸à¸¡
à¹à¸¡à¹à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¹à¸¡à¹à¸«à¸à¸à¸¹à¹à¸à¸µà¹à¸à¹à¸à¸¢à¸à¸§à¹à¸²à¸à¸¸à¸à¸à¹à¸²à¸à¹à¸à¸·à¹à¸à¸à¸à¸²à¸à¸à¹à¸à¸à¹à¸à¸²à¸£à¸à¸¨à¸±à¸à¸à¸´à¹à¸¨à¸£à¸µà¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¹à¸à¸¡à¸à¸¸à¸©à¸¢à¹à¸à¸£à¸±à¸
à¸à¹à¸à¸à¸³à¸à¸²à¸¡à¸à¸µà¹à¸§à¹à¸²à¹à¸à¸ªà¸±à¸à¸à¸¡à¹à¸à¸¢à¸¡à¸µà¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸à¸ าà¸à¸à¸²à¸¡à¸«à¸¥à¸±à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸£à¸à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¹à¸¡à¹à¸à¸à¸à¸§à¹à¸²à¹à¸à¸à¸²à¸à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢
à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸£à¸à¸à¸à¸²à¸¡à¸£à¸±à¸à¸à¸£à¸£à¸¡à¸à¸¹à¸à¸¡à¸µà¸à¸£à¸±à¸à¸à¸¸à¸à¸à¸à¸¡à¸µà¸ªà¸´à¸à¸à¸´à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸à¸ าà¸à¹à¸à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸à¹à¸à¸¡à¸à¸¸à¸©à¸¢à¹à¹à¸à¹à¸²à¸à¸±à¸
หาà¸à¹à¸à¸£à¹à¸¡à¹à¹à¸à¹à¸£à¸±à¸à¸ªà¸´à¸à¸à¸´à¸à¸±à¹à¸à¸ªà¸²à¸¡à¸²à¸£à¸à¸à¹à¸à¸à¸¨à¸²à¸¥à¸à¸à¸à¸£à¸à¸à¹à¸à¹à¸à¸£à¸±à¸à¹à¸¡à¹à¸§à¹à¸²à¸£à¸±à¸,à¹à¸à¸à¸à¸
à¸à¸²à¸¢à¸à¹à¸²à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸¥à¸¹à¸à¸à¹à¸²à¸à¹à¸à¹à¸à¹à¸¡à¹à¹à¸à¹à¸à¸²à¸£à¸à¸¹à¸à¸¥à¸§à¸à¸¥à¸²à¸¡à¸à¸²à¸à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢à¸à¸²à¸£à¸à¸¹à¸à¹à¸à¸°à¹à¸¥à¸¡à¸à¹à¸à¸´à¸à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢
à¸à¹à¸²à¸à¸ªà¸´à¸à¸à¸´à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸à¸ าà¸à¸à¸à¸à¸à¸²à¸£à¹à¸à¹à¸à¸¡à¸à¸¸à¸©à¸¢à¹à¹à¸¥à¹à¸§à¸à¸£à¸±à¸à¹à¸à¹à¸ªà¸±à¸à¸à¸¡à¹à¸à¸¢à¸¢à¸±à¸à¹à¸¡à¹à¸à¸¥à¹à¸²à¸à¹à¸à¸à¸£à¹à¸à¸
à¸à¸¥à¸±à¸§à¸¢à¸¸à¹à¸à¸¢à¸²à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸à¸¥à¸±à¸§à¸à¸à¸à¸²à¸à¸à¸µà¹à¸à¸´à¸à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢à¸à¸¸à¹à¸¡à¸à¸£à¸à¸à¸à¸¢à¹à¸²à¸à¸à¸µà¸à¸£à¸±à¸
- ไม่ประสงค์ออกนาม1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
สิà¸à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸«à¸à¹à¸²à¸à¸µà¹à¸à¹à¸à¸à¸¡à¸²à¸à¸£à¹à¸à¸¡à¸à¸±à¸ à¸à¸à¹à¸£à¸²à¸ªà¹à¸§à¸à¹à¸«à¸à¹à¸¡à¸±à¸à¸à¸à¸à¹à¸£à¸µà¸¢à¸à¸£à¹à¸à¸à¸ªà¸´à¸à¸à¸´à¹à¸¥à¸°à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸à¸ าภà¹à¸à¹à¸«à¸¥à¸à¸¥à¸·à¸¡à¸§à¹à¸²à¸à¸à¹à¸à¸à¹à¸à¹à¸à¸³à¸à¸²à¸¡à¸«à¸à¹à¸²à¸à¸µà¹à¸à¸à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸à¸à¸µà¹à¸à¸µà¸«à¸£à¸·à¸à¸¢à¸±à¸ à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸¡à¸à¸ าà¸à¸¡à¸²à¸à¸²à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸µà¹à¸à¹à¸²à¸¢à¸à¸£à¸´à¸«à¸²à¸£à¸«à¸£à¸·à¸à¸£à¸±à¸à¸à¸²à¸¥à¸«à¸£à¸·à¸à¸à¸¹à¹à¹à¸à¹à¸à¹à¸«à¸à¹à¸à¸±à¹à¸à¸«à¸¥à¸²à¸¢à¹à¸à¸à¹à¸²à¸à¹à¸¡à¸·à¸à¸ ยิà¸à¸¢à¸à¸¡à¹à¸ªà¸µà¸¢à¸ªà¸¥à¸°à¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸¥à¸à¸ªà¹à¸§à¸à¸à¸±à¸§ à¹à¸¥à¸°à¸à¹à¸²à¸à¸¸à¸à¸à¸à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸£à¸²à¸à¸´à¸à¸à¸¶à¸à¹à¸£à¸·à¹à¸à¸à¸ªà¸´à¸à¸à¸´à¹à¸«à¹à¸à¹à¸à¸¢à¸¥à¸ มีà¸à¸§à¸²à¸¡à¹à¸ªà¸µà¸¢à¸ªà¸¥à¸°à¸¡à¸²à¸à¸à¸¶à¹à¸ à¸à¸´à¸à¸à¸¶à¸à¸«à¸à¹à¸²à¸à¸µà¹à¸à¸à¸à¸à¸à¹à¸à¸à¸¡à¸²à¸à¸à¸¶à¹à¸ à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸£à¸²à¸à¸°à¸à¸±à¸à¸à¸²à¹à¸à¸à¸µà¸à¹à¸¢à¸à¸°