Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

ธรรมะจะเป็นธรรมชาติได้อย่างไร เพราะธรรมะนั้นอยู่เหนือธรรมชาติ?

10 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    ต่อไปนี้ จะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างโครงสร้างพื้นฐานของ “ธรรมะ” กับ “ธรรมชาติ” ดังนี้

    (1) “ธรรมะ” เล็งถึง “การธำรงรักษาไว้ซึ่งสภาวะของผู้สร้าง” โดยทรงไว้ซึ่ง “เหตุ” แห่งคุณงามความดี, ทรงไว้ซึ่ง “เหตุ” แห่งความชอบธรรม, ทรงไว้ซึ่ง “เหตุ” แห่งความถูกต้อง ฯลฯ กล่าวคือ “ผู้รู้จักธรรมะก็คือผู้รู้จักสภาวะของเหตุ” การหยั่งรู้สภาวธรรมแบบนี้ คนโบราณเรียกว่า “สิ่งซึ่งทรงตัวอยู่” หรือ “ผู้ทรงดำรงอยู่” (I AM WHO I AM)

    แต่ “ธรรมชาติ” เล็งถึง ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุ ตั้งอยู่ได้โดยเหตุ และก็ดับไปเพื่อเหตุ หรือ “สิ่งที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปโดยอาศัยเหตุ” การหยั่งรู้โลกตาม “สภาวะที่เป็นเหตุ-เป็นผล” แบบนี้เรียกว่า “ตถตา” หรือ “ความเป็นเช่นนั้นเอง” (TathataThusness) ที่เล็งถึงอิทัปปัจจยตา(หลักการของเหตุและผล) หรือ ปฏิจจสมุปบาท (ความเกี่ยวเนื่องกันของเหตุและผล)

    (2) “ธรรมะ” เล็งถึง “ความจริงสัมบูรณ์” (Absolute Being) ของสภาวะที่เป็นเหตุซึ่ง “ดำรงอยู่” ในความจริงสัมพัทธ์ “ดำรงอยู่” เหนือความจริงสัมพัทธ์ และยังคง “ดำรงอยู่” ตลอดไป แม้ว่าความจริงสัมพัทธ์ของสภาวะที่เป็นผลอื่น ๆ จะแตกดับไปแล้วก็ตาม

    แต่ “ธรรมชาติ” เล็งถึง “ความจริงสัมพัทธ์” (Relative being) ของสภาวะที่เป็นผลซึ่งอาศัยสิ่งอื่น (สภาวะที่เป็นเหตุ) เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป มีทั้งเจริญขึ้น (ตามสภาวะที่เป็นเหตุ) และเสื่อมลง (ตามสภาวะที่เป็นผล) เป็น “ตถตา” (ความเป็นเช่นนั้นเอง) เล็งถึง อิทัปปัจจตา ซึ่งเท่าเทียมกันทั้งหมด

    (3) “ธรรมะ” เล็งถึง “สภาวะที่เป็นหนึ่ง” ไม่มีด้านตรงข้ามจึง ขับเคลื่อนบนสภาวธรรมที่ “สืบเนื่องกัน” ในลักษณะ “ไตรธรรม” จะปรากฏโดยผ่านทางธรรม (เติมเต็มด้วยความดี) อธรรม (ว่างเปล่าจากความชั่ว) และธรรมาธรรม (การปกครองซึ่งดำรงอยู่เหนือกรรมดี-กรรมชั่วของวิญญาณ , ดำรงอยู่เหนือความสุข-ความทุกข์ของจิต , ดำรงอยู่เหนือความเกิด-ความตายของกาย ฯลฯ)

    แต่ “ธรรมชาติ” เล็งถึง “สิ่งตรงกันข้ามประกอบขึ้นเป็นสิ่งเดียวกัน” ถ้าทำสิ่งใดมากสิ่งตรงข้ามกับสิ่งที่ทำก็จะปรากฏจึงขับเคลื่อนบนสภาวะกรรมที่ “ต่างกัน” ในลักษณะ “ไตรกรรม” และจะปรากฏโดยผ่านทางกุศลกรรม (การทำดี) อกุศลกรรม (การทำชั่ว) และอัพยากฤตกรรม (การไม่ทำกรรมดี-การไม่ทำกรรมชั่ว)

    (4) “ธรรมะ” หมายถึง “การทรงตัวอยู่ถาวร”

    แต่ “ธรรมชาติ” หมายถึง “การทรงตัวอยู่ชั่วคราว” ของสิ่งทั้งปวงที่อาศัยสิ่งอื่นเกิดขึ้น อาศัยสิ่งอื่นตั้งอยู่ และอาศัยสิ่งอื่นแตกดับไป

    ท่านพุทธทาส (อเทวนิยม) กล่าวว่า “นิพพาน (ไกวัลยธรรม) เป็นสภาวะชนิดหนึ่ง.....แม้จะพูดว่ามีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวงก็ยังน้อยไป พูดว่าอยู่คู่กับสิ่งทั้งปวงก็ยังน้อยไปเพราะเป็นสภาพที่อยู่เช่นนั้นโดยตัวเองจนตลอดอนันตกาล เราจึงกล่าวได้แต่เพียงว่านิพพานคืออมตะธรรมคือไม่ตาย เป็นอสังขตธาตุคือไม่เปลี่ยนแปลง ดุจอานุภาพของพระเจ้าที่ไม่มีวันตาย ตรงกันข้ามกับธรรมอื่น สิ่งอื่นซึ่งประกอบด้วยสังขตธาตุ”

    (5) “ธรรมะ” หมายถึง สภาวะที่อยู่ “เหนือธรรมชาติ”

    แต่ “ธรรมชาติ” เล็งถึง สภาวะที่เป็นไปตาม “ธรรมดา” ของสรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป

    ท่านโพธิรักษ์ (อเทวนิยม) ได้กล่าวว่า “ความเข้าใจและความยึดถือที่ว่า “ธรรมะ คือ ธรรมชาติ” แล้วก็เห็นเลยเกิดไปถึงว่าแม้แต่ อนัตตาหรือนิพพานก็เป็นธรรมชาติด้วย เป็นความเข้าใจผิด ความจริงแล้วอนัตตาหรือนิพพานของพุทธคือสภาพ “เหนือธรรมชาติ” เรียกว่า “โลกุตระ” เพราะดับธรรมชาติหรือดับโลกียะในตนลงได้ เช่น มนุษย์ย่อมสมสู่สืบพันธุ���เป็นธรรมชาติ แต่ผู้ปฏิบัติธรรมะของพุทธ “ลดละกามุปาทาน” อย่างสัมมาทิฏฐิจนบรรลุถึงขั้นอนัตตาหรือนิพพานก็จะเป็นผู้สามารถดับธรรมชาติที่ต้องสืบพันธุ์ได้อย่างหมดเชื้อกิเลส อุปาทาน”

    ท่านโพธิรักษ์ (อเทวนิยม) ยังได้กล่าวอีกว่า “คุณก็คงจะเคยได้ยินใคร ๆ พูดกันมามากว่า “ธรรม” คือ “ธรรมชาติ” แต่สำหรับอาตมานั้น ก็เคยยืนยันมาหลายครั้งหลายคราแล้วว่า กล่าวเช่นนั้นมีส่วนถูกแค่ขั้นหยาบผิว ๆ เผิน ๆ เท่านั้น หรือจะกล่าวว่าพูดเช่นนั้น “ผิด” ก็ได้ เพราะถ้าแม้นเข้าใจ “ธรรม” ขั้นสูงขั้นเนื้อหาสำคัญ ชั้นสุดยอดของพุทธศาสนาแล้วจะรู้แจ้งชัดเจนว่า “ธรรม” ไม่ใช่ “ธรรมชาติ” หรือเอาให้ชัดลึกสุดยอดกันแล้ว “ธรรมขั้นนิพพาน” คือ ความไม่มี “ธรรมชาติ” หรือ “ดับธรรมชาติ” นั้นอย่างสนิทและยั่งยืนกันทีเดียว....

    สุดยอดของ “ธรรม” ที่เป็น “นิพพาน” นั้น เที่ยง (นิจจัง, ธุวัง, สัสสตัง, อสังกุปปัง ฯลฯ ) ไม

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ธรรมะคือกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ เพียงแต่เรารู้เท่าทัน และดำเนินชีวิตได้สอดคล้อง ทำให้เราไม่ทุกข์ แต่การที่จะเข้าใจได้ดี และไม่เป็นทุกข์ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ศึกษา และฝึกฝน จึงจะไปสู่จุดที่สูงสุด คือ พ้นทุกข์

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ธรรมะไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติแต่อย่างใด

    ธรรมก็เป็นกฎธรรมชาติ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    คำว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ถ้าเข้าใจ"ธรรมะ" อย่างแท้จริงจะเข้าใจ เพราะทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา สามารถเป็นธรรมะได้หมด ไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติ วัตถุสิ่งของ หรือสัตว์ และที่สำคัญที่สุด คือย้อนมาดู"ธรรมะ"ที่อยู่ในตัวเรา

    ทำไมจึงมีคำว่า"ธรรมะเป็นธรรมชาติ" เพราะเมื่อคุณพิจารณาแล้วจะเห็นว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่คงทนไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของหรือแม้แต่ ธรรมชาติ เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าพิจารณาจนมองเห็นว่าทุกอย่างคือธรรมชาติ คือสิ่งปกติที่เมื่อเกิดขึ้นมาก็ย่อมแตกดับสูญสลาย สูญสิ้นไปตามกาลเวลา ไม่มีพายุที่ไหนที่จะอยู่ได้ตลอดไป เมื่อพายุมา อีกไม่นานพายุก็จะสิ้นสุดลง เป็นสัจธรรมที่สามารถเอามาพิจารณาได้หมด ให้เห็นธรรมได้อย่างแท้จริง ธรรมะ คือการยอมรับและปล่อยวาง ไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดทั้งสิ้น

    ที่มา ศึกษาจากหนังสือธรรมทั่วๆไป โดยไม่เน้นว่าต้องมาจากที่ไหน

    ถ้าท่านใดปรารถนาอยากทราบ ความหมายอย่างแท้จริง ต้องลงมือปฏิบัติค่ะ ใครบอก ใครอธิบายก็ไม่เหมือนเราลงมือทำด้วยตัวของเราเอง...

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    คุณกำลังสับสนความหมายของสองคำนี้ ธรรมมะหมายถึงการใช้ชีวิตแบบปฎิษัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่โกหกไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นการพนัน ไม่เป็นชู้สาวกับคนที่มีเจ้าของแล้ว ล้วนแล้วไม่เกี่ยวกับธรรมชาติเลย คำสะกดคล้ายกัน แต่มิได้มีคà¸��ามหมายเดียวกันเลยสักนิด ส่วนธรรมชาติหมายถึงสิ่งแวดล้อมรอบๆๆตัวเรา เช่นต้นไม้ สัตว์ต่างๆ รวมทั้งคน(มนุษย์) แม่น้ำ ภูเขา ล้วนแล้วเกิดจากธรรมชาติ แต่คนกลับพยายามแหกกฎธรรมชาติด้วยการà¸��ร้างสิ่งจอมปลอมขึ้นมาเอง เช่น เงิน เทคโนโลยี่ ตึกสูงๆๆ บ้านช่องใหญ่ๆ ทิ้งขยะและสร้างโรงงานมากๆแล้วปล่อยควันพิษไปสู่ชั้นบรรยากาศทำลายสิ่งแวดล้อมคือธรรมชาติถูกทำลาย แล้วตอนนี้ธรรมชาติก็ลงโทษคน(มนุษย์)ด้วยการเกิดอุทกข์ภัย และโลกร้อนตามมาแล้ว ฉนั้นมิได้เกี่ยวกับธรรมะนะคุณเอ่ย คุณกลับไปเรียนภาษาไทยใหม่เถอะ แล้วจะเข้าใจความหมายของสองคำนี้ตอบเอาบุญ

  • nara
    Lv 4
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    งงเหมือนกัน........

    ธรรมะ จะเป็นธรรมชาติ เมื่อเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร

    ธรรมชาติ ไม่ได้หมายถึง ต้นไม้ ภูเขา ลำธาร อย่างนั้น อย่างเดียวหลอกนะ

    ทุกอย่าง ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ธรรมะ กับ ธรรมชาติ ในด้านภาษาพูด ภาษาเขียนนั้นต่าง

    แต่หากพิจารณาอย่างละเีอียดแล้ว ความหมายอย่างเดียวกัน

  • SATAN
    Lv 6
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ศาสนา ธรรมะ ธรรมชาติ....ก็คือความไม่มี..โลกสมมุติทั้งสิ้น ตัวคุณ ตัวผม ก็คือสิ่งสมมุติทั้งนั้น

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นนำหลักคำสอนมาจากธรรมชาติ เกิดจากการทดลองด้วยพระองค์เองทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเดินอยู่บนทางสายกลางโดยยึดถือหลักธรรมชาติของตัวเราเอง กินอยู่อย่างพอเพียง ไม่รักโลภโกรธหลง ทำจิตใจให้สงบ เข้าถึงแก่นแท้ของเหตุและผล สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลของการกระทำ ธรรมะอาจไม่ใช่ธรรมชาติ หากแต่ถ้าเราใช้หลักธรรมะมาดำรงชีวิตจนเกิดเป็นนิสัยโดยธรรมชาติก็จะเป็นผลดียิ่ง

  • ?
    Lv 4
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ถูกครับ ธรรมะไม่เป็นธรรมชาติ

    เพราะฉนั้น ถ้าเราอยากเข้าถึงธรรมะ

    เราก็ต้องทำจิตให้เป็นธรรมชาติ

    นั่นคือ ทำจิตให้บริสุทธิ์ สะอาด ปล่อยวาง

    ว่างเปล่า ตามธรรมชาติครับ

    แล้วท่านจะเข้าถึงธรรมะได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว

    แหล่งข้อมูล: WWW.RAKSA-DHAMMA.COM
ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้