Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

เพราะหินก้อนเดียวแท้ๆ สังคมจึงมีคนเห็นแก่ตัวเต็มบ้านเมือง มาช่วยกันคิดดีกว่าน่ะครับว่าจะทำยังไง?

คำถามนี้มาจากคำถามต่อเนื่องที่ว่า ถ้าคุณป่วยเป็นโรคร้ายแรงมีทางเดียวที่จะรอดชีวิตคือการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ แล้วคุณได้เจอโคลนนิ่งของคุณเข้า คุณจะเลือกตัดสินใจแบบไหน ?? แล้วผมทิ้งท้ายไว้หน่อยตรงที่ว่า มีการทดลองทางจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงมากบนข้อสมมุติฐานที่ว่า " ถ้าตราบใดที่มนุษย์สามารถที่จะยัดเยียด

ความผิดพลาดของตัวเองให้กับผู้อื่นได้อย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อนั้นขอบเขตคำว่าศีลธรรมหรือความถูกต้องจะกลายเป็นศูนย์ "

คำถามนี้จริงๆแล้วใกล้ตัวเราๆท่านๆกันมากๆๆ แต่คนส่วนใหญ่มักมองกันไม่ออก

สมัยเมื่อเรายังเด็กเวลาเราเดินสะดุดก้อนหินล้มลง แล้วร้องไห้พ่อและแม่ของคนส่วนใหญ่

ก็จะบอกกับลูกตนเองว่าเป็นความผิดของก้อนหิน ต่างพากันด่าก้อนหินมั่ง ทุบก้อนหินมั่ง

ว่าเป็นสาเหตุแห่งความผิด ทำให้เด็กๆสบายใจขึ้นแล้วหยุดร้องไห้ ( ซึ่งตรงกับทฤษฎีทางจิตวิทยา

ว่าเป็นการปรับตัวแบบโทษผู้อื่นหรือการโยนบาป (Projection) ซึ่งเป็นการอ้างความผิดของคนอื่นขึ้นมา

ลบความผิดของตน เพื่อทำให้ตนเองสบายใจ )

แล้วเชื่อมั๊ยว่าเพราะ พฤติกรรมเล็กๆแค่นี้ทำให้เราเกิดการฝังใจ เกิดการโยนความผิดให้กับคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก

จนโตก็ยังชอบหรือนิยมที่จะโยนความผิดให้กับคนอื่นๆอยู่เสมอ นั้นคือ สภาวะการรับรู้ผิดชอบ

ชั่วดีหรือของเรานั้น ค่อนข้างอ่อนไหวได้ง่ายมากๆ ยิ่งถ้าสามารถยัดเยียดความผิดออกไป

ได้ไกลตัวมากเท่าไหร่เราจะยิ่งสบายใจ จนสังคมเราทุกวันนี้ส่วนใหญ่กลายเป็นสังคมเห็นแก่ตัวไป เพราะก้อนหินก้อนนั้นหรือเปล่า ??????

6 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • on-ces
    Lv 5
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งล่ะคะ ว่าความรักที่จะโยนบาปให้คนอื่น(หรือก้อนอื่น)

    นั้นมีมาก่อนพฤติกรรมของพ่อกับแม่

    โดยเกิดจากความรักในตัวเองมาเป็นอันดับแรก

    เมื่อเรารักตัวเอง ไม่อยากให้ตัวเองมีความทุกข์ ไม่อยากเป็นคนผิด

    เด็กคนนั้นจึงพอใจ เมื่อพ่อกับแม่ลงโทษก้อนหินแทนโทษตนเอง

    พฤติกรรมของพ่อแม่ จึงสนองความต้องการเดิมที่มีมาก่อน

    ไม่ใช่การสั่งสอนที่ทำให้เด็กเห็นแก่ตัวจนเกินพอดี

    การเห็นแก่ตัว จึงเริ่มมาจากความรัก"ตัวเอง"ค่ะ

    มนุษย์นั้นมีธรรมชาติคือรักตัวเองเป็นทุนเดิมเท่ากันทุกๆคน

    เรามีสันชาติญาณหลายๆอย่างที่บ่งชี้ว่าเรารักตัวเองกว่าคนอืื่น

    เช่น หากมีของร้อนหล่นใส่ เราจะรีบปัดไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล

    (เพราะว่าเรากลัวตัวเองเจ็บ)

    หรือ เวลามองรูปถ่าย��มู่ที่มีเรากับเพื่อนๆ สิ่งแรกที่จะมองหา คือมองตัวเอง

    (ฉันดูดีหรือเปล่า ดูตลกมั้ย จากนั้นจึงหันไปมองคนอื่น) เป็นต้น

    ขณะเดียวกัน ในตัวเราทุกคนก็มีเมล็ดพันธุ์แห่งความรักคนอื่นซ่อนอยู่ทุกคนนะค่ะ

    เมล็ดพันธุ์ในบางคนก็เจริญงอกงามดีอยู่แล้ว แต่บางคนก็ยังไม่แตกหน่อออกผล

    ต้องรอให้เขาเกิดแรงบันดาลใจอยากรักคนอื่นก่อน

    ลองมาอ่านวิธีการเลี้ยงความ���ีให้เจริญเติบโตกันค่ะ

    โดยพระไพศาล วิศาโลเคยเทศน์ในงาน "คนค้นคนอวอร์ด"ว่า (ตัีดมา)

    ...เมื่อใดก็ตามที่เรามีความทุกข์ หากเรามีโอกาสได้นึกถึงคนที่ทุกข์ยากกว่าและได้ทำความดีให้แก่คนเหล่านั้น เราจะรู้สึกขึ้นมาว่า มีพลังก่อเกิดขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง ว่าไปแล้ว คนทุกข์ส่วนใหญ่นั้นเป็นเพราะเขาคิดถึงตัวเองมากเกินไป ยิ่งเราคิดถึงตัวเองมากเกินไปเท่าไร อัตตาตัวตนก็จะใหญ่ และก็จะรับแรงกระทบ******จากสิ่งที่มากระทบ ทำให้มีความทุกข์ได้ง่าย

    เราทุกข์ง่ายเพราะเราคิดถึงตัวเอง แต่จะทุกข์น้อยลง และมีความสุขมากขึ้น เมื่อเราได้นึกถึงผู้อื่น

    เมื่อเราได้ทำความดีเพื่อผู้อื่น และสิ่งนี้เองทำให้เราสามารถยืดหยัดอยู่ในโลก แม้ว่าจะประสบกับความทุกข์ที่มากระทบตัวเองมากเพียงใดก็ตาม

    มนุษย์ทุกคนปรารถนาจะทำความดี แต่เราก็พบว่าหลายคนรอบตัวเรา ทำไมเขาเห็นแก่ตัว ทำไมเขาเอาเปรียบ อาตมาเชื่อว่า ลึกลงไปแล้วเขามีความปรารถนาดี ใจเขามีมโนธรรม แต่ว่ามันอ่อนแรง ไม่มีแรงพอที่จะทำความดี จึงทำให้ความเห็นแก่ตัวเข้ามาครอบงำใจ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความดีหรือมโนธรรมได้รับการหล่อเลี้ยง ได้รับการเติมพลัง ก็จะกลับมีความเข้มแข็ง และสามารถเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้ อะไรเล่าที่จะทำให้ความดีในใจเจริญงอกงาม มีพลังขึ้นมา ถ้าไม่ใช่การได้เห็นคนดี คนเสียสละ...

    ถ้าเราหล่อเลี้ยงใจเราด้วยการทำความดี เสียสละบ่อยๆ

    ไม่แน่นะค่ะ เราอาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ผ่านมาเจอก็ได้

    เริ่มกันคนละนิด แล้วสักวันรวมกันก็มากเข้าเองค่ะ

    ความเพียรนั้น ไม่ใช่พยายามจนตัวตายในวันเดียว

    แต่ต้องพยายามวันละนิด จนกว่าชีวิตจะหาไม่

    จบแล้วค่ะ ^_^

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ผิดกับเรานะ ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าถ้าร้องไห้มาเพราะตีกับเพื่อนจะถูกตีซ้ำ แล้วสั่งสอนว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้อีก เดี๋ยวนี้เลยทำอะไรจะไม่โทษคนอื่นนะ

    ไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ที่เลี้ยงเด็กเหมือนเทวดา เลี้ยงเด็กแบบให้แต่เงิน ไม่ได้สั่งสอนให้เห็นค่าของเงิน อยู่โรงเรียนทำผิด คุณครูก็ตีไม่ได้ แล้วเด็กถ้าไม่ให้เกรงอะไรซักอย่าง พอโตขี้นก็จะไม่เกรงกลัวแม้แต่กฏหมายบ้านเมืองเหมือนเช่นทุกวันนี้ อย่างเช่นพวกแก๊งค์แข่งมอเตอร์ไซด์ เคยเกรงกลัวกฏหมายหรือเปล่า

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    แก้ง่ายที่สุดคือการแก้ที่วิธีคิด มุมมอง ทัศนคติค่ะ การที่เด็กเดินสะดุดก้อนหินล้มลง แล้วร้องไห้พ่อและแม่ส่วนใหญ่ จะโอ๋ลูกทัน เผลอ ๆ พ่อ แม่ ตกใจ จิตหลุดยิ่งกว่าเด็กเสียอีก รีบเข้าไปทันที ทำให้เด็กยิ่งตกใจ พาลคิดไปเองว่า ตัวเองทำผิดใหญ่หลวงมาก สิ่งที่เด็กรู้สึกคือ รู้สึกผิด แต่ยังหาเหตุผลไม่ได้ เพราะฉะนั้น ร้องเอาไว้ก่อน ปลอดภัยที่สุด เพราะทุกครั้งที่ร้อง พ่อ แม่จะโอ๋ทันที (พ่อแม่โอ๋ ก็เพื่อตัดความรำคาญหากเด็กร้องนาน ๆ ) โดยบอกกับลูกว่าเป็นความผิดของก้อนหิน ต่างพากันด่าก้อนหินมั่ง ทุบก้อนหินมั่ง เพื่อให้ลูกรู้สึกผิดน้อยลง ทำให้เด็ก หยุดร้องไห้ (และมันได้ผลทุกครั้งไปสิน่า)

    แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิด พอลูกเดินสะดุดก้อนหินล้มลงปุ๊บ ไม่ต้องรีบเข้าไปโอ๋ค่ะหรอกค่ะ นั่งมองห่าง ๆ ก่อน อย่าแสดงอาการตกใจชนิดจิตหลุดอมตะ เป็นแพ็ตเทิร์นเดียวกันกับพ่อแม่คนอื่น ๆ แล้วค่อยเข้าดูในอาการปกติ(ได้สังเกตEQ&IQ ลูกด้วย) เด็กก็จะไม่ตกใจ พ่อแม่ก็สอนไปสิ ว่าควรระมัดวังยังไงบ้างถูกมั้ย ถ้ามีแผลก็ทำแผลไปก่อน แล้วพอเขาหยุดร้อง ค่อยมาสอนกันที่หลัง ไม่ต้องไปวิชาการกับเด็กเวลาเด็กกำลังร้องไห้ เพราะเขาจะไม่ฟัง เขาไม่พร้อมจะรับรู้ เพราะเขาเจ็บค่ะ....^_^

    คุณล่ะพร้อมจะเปลี่ยนหรือยัง หรือว่าแค่เด็กล้มลงนิดหน่อยก็เถือกตัวไปอย่างรวดเร็ว อาการลนลาน ตกใจ จิตหลุด เป็นแพ็ตเทิร์นเดียวกันกับพ่อแม่คนอื่น ๆ เหมือนกัน

    แหล่งข้อมูล: ปล.ยกเว้นสถานการณ์ฉุกเฉินเช่น เด็กตกน้ำ ถูกรถชน ของติดหลอดลม ดิ้นกระแด่ว ๆ ฯลฯ อะไรทำนองนี้ การวางเฉย อาจตายเฉยได้เหมือนกันค่ะ ต้องดูเป็นกรณี ๆ ไปนะคะ...^_^
  • Kimmim
    Lv 7
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ที่บ้านของเราก็โดนเลี้ยงมาคล้ายๆคุณj.ค่ะ คือ

    ถ้าหกล้ม(ไม่ว่าจะสะดุดก้อนหินหรืออะไรก็แล้วแต่) จะโดนดุว่า เดินยังไงไม่รู้จักมองทางให้ดี .. แล้วห้ามร้องให้ด้วย(ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย) เป็นแผลแค่นี้เรื่องเล็กไกลหัวใจ ต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ห้ามมีน้ำตาให้ใครเห็นเด็ดขาด...อาจจะเหมือนโหดไปหน่อยแต่ก็เป็นแบบนี้มาทุกรุ่น

    แถมล้มแล้วต้องรีบลุก ไปต่อด้วย ห้ามนั่งอยู่กับที่และห้ามทำผิดซ้ำซ้อนบ่อยนักไม่งั้นจะโดนทำโทษ

    ขนาดมีเรื่องกะเพื่อนที่ร.ร. เราเป็นฝ่ายโดนเข้ามาหาเรื่องเองแท้ๆ แต่กลับ "ห้ามสู้" ถ้ามีเรื่อง..กลับบ้านจะโดนตีซ้ำโทษฐานไม่มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุ รู้ว่าเค้ามายั่วโมโหแล้วดันโมโหตามนี่แหละที่ผิดยิ่งกว่า

    แม้เดี๋ยวนี้ก็ตาม...ก่อนที่จะโทษคนอื่น ต้องหันมามองตัวเองก่อนทุกครั้ง เพราะทุกอย่าง"เหตุเกิดขึ้นที่เรา"ทิ้งสิ้น

    -ถ้าเราไม่ไปยุ่งด้วย เรื่องคงไม่ลาม

    -ถ้าเรารู้จักพิจารณาก่อนคบหา ก็คงไม่โดนพาไปผิดๆ

    -ถ้าเราไม่อยากมีไม่อยากได้ไม่อยากเป็น ก็คงไม่มีเรื่องต่างๆให้กลุ้มใจ

    -ถ้าเรารู้จักใช้สติใตร่ตรองเหนืออารมณ์ ปัญหาคงถูกแก้ได้ดีกว่านี้

    ...ทุกอย่าง...มาจากตัวเองทั้งนั้นค่ะ

    แบบว่า สติชมาจากต่างดาว..บ้านสติชคงสอนต่างจากชาวโลกมั๊ง??!!!ไม่รู้ดิ ^^o

  • ?
    Lv 7
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    เปล่าค่ะ เพราะตัวเองไม่ได้ถูกสอนมา ว่าให้ด่าก้อนหิน และไม่เคยเตะก้อนหินสักที มีแต่เตะหมาที่บ้านเล่น เบาๆ อิอิ

    คิดว่า เป็น สังคมรอบข้าง เริ่มจากครอบครัว โรงเรียน สภาพแวดล้อม ปลูกฝังมาแต่เด็กมากกว่า แต่ละคนเจอมาคนละแบบ จิตใต้สำนึกเลยสอนให้ จดจำ เลียนแบบ บวกกับ ความรักดี ของตัวเราเองว่มีมากแค่ไหน จึงกลายเป็น นิสัยส่วนตัว ของเราแต่ละคน

    สังคมเห็นแก่ตัว เพราะ สังคมมันเลวร้ายด้วย บีบบังคับให้เห็นแก่ตัวก็เป็นได้

    หากเราทุกคน มีพ่อแม่ที่ดี สั่งสอน มีครูที่ดีคอยบอกคอยเตือน และตัวเราเอง คิดได้ว่า ทำแบบนี้แล้วมันดีหรือไม่ดี ได้เหมือนๆกัน ก็คงมีแต่ คนดี ไม่มีคนเลว ไม่มีคนเห็นแก่ตัว หรอกค่ะ

    ยิ่งคนดี ไม่กล้าออกมา คนชั่วก็ยิ่งครองเมือง

    วันไหนที่คนไทย สนับสนุนคนดี และคนดีนั้นดีจริง ไม่กินบ้านกินเมือง

    กดดันกำจัดคนชั่วไม่ให้มีบทบาท เคารพเสียงส่วนใหญ่ของบ้านเมือง

    เราก็คงเลิกโทษคนอื่น หันมาดูตัวเอง และทำดีสักที

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    เห็นด้วยกับคุณ J เมื่อก่อนเวลาโดนครูตีกลับบ้านจะไม่กล้าบอก เพราะเมื่อบอกจะโดนตีซ้ำด้วยเหตุที่ว่าถ้าไม่ทำผิดครูจะตีทำไม แต่ปัจจุบันนี้เมื่อกลับมาบอกว่าครูตี พ่อแม่จะไปเอาเรื่องครูทันทีว่าตีลูกฉันทำไม ฉันเองยังไม่เคยตีเลย

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้