Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

จิตไม่ตั้งมั่นอยู่ในภายในหมายถึงอะไร?

การพิจารณา เมื่อพิจารณาอยู่ จิตไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปในภายนอก ไม่ตั้งมั่นอยู่ในภายใน ไม่สะดุ้งเพราะไม่ยึดมั่น จึงไม่มีเหตุเกิดหรือแดนเกิดของชาติ ชรา มรณะ และทุกข์ต่อไป

อยากถามว่า การที่จิตถูกเรียกว่า "ไม่ตั้งมั่นอยู่ในภายใน" นั้น คืออะไรค่ะ

อัปเดต:

จิตที่เรียกว่า “ตั้งมั่นอยู่ในภายใน” หมายถึงจิตที่ยินดีในเวทนาในรูปฌานค่ะ

ดังที่ทราบแล้วว่าฌานหนึ่งประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา, ฌานสอง – ปีติ สุข เอกัคคตา, ฌานสาม - สุข เอกัคคตา และฌาน 4 – อุเบก���า เอกัคคตา

เวทนาที่น่าหลงใหลที่สุด คือปีติ สุข นี้ เมื่อยินดีในเวทนา ก็สงบนิ่ง อยู่ในฌาน จึงปล่อยโอกาสที่จะได้ใช้จิตอันควรแก่การใช้งานทางปัญญาเพื่อการพิจารณาธรรม อันเป็นเหตุให้บรรลุธรรมที่สูงขึ้นไป จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในภายใน แม้จะบรรลุวัตถุประสงค์ของสมถะกรรมฐาน แต่กลับเป็นอุปสรรคต่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างมาก

แต่หากเมื่อบรรลุฌานใดฌานหนึ่งแล้ว ไม่ยินดีในเวทนาในฌานเหล่านั้น ในขณะที่จิตเป็นสมาธิ จึงน้อมจิตไปเพื่อพิจารณาธรรม

ดังที่ทราบดีอยู่แล้วว่า จิตที่เป็นสมาธิจะรู้เห็นได้ตามที่เป็นจริง จึงเป็นเหตุให้บรรลุธรรมที่สูงขึ้นไป จนไม่มีเหตุให้เกิดชาติ ชรา มรณะ และทุกข์ได้ในที่สุด

ในอุทเทสวิภังคสูตร มีพุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน หากสนใจ เชิญแวะไปที่นี่นะคะ

http://portal.in.th/portals/nadrda2/pages/12798/

อัปเดต 2:

ขอเลือกคำตอบของคุณเจ็ดวันห้ากิโลเป็นคำตอบที่ดีที่สุดนะคะ เนื่องจากคำตอบใกล้���คียงความหมายมากที่สุดค่ะ

และขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจต่อคำถามนี้ด้วยค่ะ

12 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    ไม่ไปแช่อยู่ นิ่ง ๆ ข้างใน

    พอดีเมื่อเช้าอ่านข้อความที่ส่วนตัวเห็นว่า น่าจะสอดคล้องกับข้อความในคำถาม ขออนุญาตยกมาแบ่งปันนะคะ

    "ฌานสี่ตามวิถีทางธรรมชาติซึ่งก็ให้ผลสูงทางด้านพละกำลังทางใจ ทั้งรู้แจ้งเห็นจริง เป็นการเจริญสติตามธรรมชาติ ใหม่ ๆ คงยุ่งยากและท้อถอยบ่อย การละวิตก วิจาร คือ "รู้ตัว" และไม่คิดทั้งไม่กดข่ม อาจจะอุปมาดังนี้

    ชายคนหนึ่งเป็นนักว่ายน้ำที่ฉลาด ครั้นมาถึงริมฝั่งน้ำที่ไหลเชี่ยวและกว้าง เขาต้องการจะข้ามไปฝั่งโน้น เขาจะไม่ว่ายทวนน้ำซึ่งเป็นความโง่และเสียแรงเปล่าทั้งอันตรายโดยใช่เหตุ เขาจะไม่ว่ายตามน้ำเพราะอาจถูกน้ำกลบและจมได้ ทั้งไม่อาจข้ามฝั่งได้ด้วย ชายผู้นี้ย่อมว่ายเฉียง ๆ ไม่ตาม ไม่ต้าน อาศัยกระแสน้ำนั่นเองเป็นแรงส่ง เขาเพียงพยุงกายไม่ให้จม ว่ายข้ามไป ตามน้ำโดยเฉียง ๆ ไปเหนือน้ำแต่ก็ว่าย หาใช่เหาะไป ถึงฝั่งโดยปลอดภัย ใช้แรงน้อยแต่ใช้ศิลปะสูง และความตั้งใจแน่วแน่ อาศัยความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง ก็ถึงความไม่เปลี่ยนแปลง (ดังข้ามน้ำเชี่ยวลุถึงฝั่งได้) หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงจะรู้แจ้งเห็นจริงไปได้อย่างไร แต่หากหมุนเคว้งคว้างไปในกระแสของความเปลี่ยนแปลงก็ไม่อาจถึงได้เช่นก��น

    ควรจะรู้ว่าในโลกแห่งปรากฏการณ์หามีอะไรจริงแท้ไม่ และพร้อมกันนั้นก็อย่ามัวไปหาความจริงนอกปรากฏการณ์ กล่าวคือ การมัวคิดผิด ๆ ว่าปรากฏการณ์เป็นสิ่งเลวหรือไม่ถูกต้อง ก็จะหลงสร้างสิ่งดี ถูกต้องขึ้น และหวังจะเข้าถึงให้ได้ นี้นับว่าสร้างกรงขังตัวเองแล้วค้นหาอิสระ เมื่อปรากฏการณ์อันผิดแผกมากมายหลากหลายลดแสงล่อลวงลง ลดความทึ่งตื่น ใส่ใจลงเท่าใด ก็จะเข้าสู่สภาพที่ไม่ต่าง ไม่เป็นสองยิ่งขึ้น การรู้ถึงปรากฏการณ์จากภายนอกจะสร้างรูปของความคิดแปลก ๆ นานา ครั้นรู้ทั่ว ความสงสัย ความทุกข์ใจ ความพึ่งตนเองไม่ได้ ความซ่องเสพกับทิฐิอุปาทานต่าง ๆ ก็สิ้นไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไรกับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ทุกสิ่งถูกปัญญาทำให้สะเทินหมดรูปเรื่องเฉพาะ หมดความสำคัญเฉพาะ(อัตตา) หมดความเด่นเป็นอัตตาไปเอง จิตสงบไปเอง เพราะรู้อันนี้ไม่ต้องทำอะไร "รู้ตัว" เท่านั้น ความเกียจคร้านทางสติปัญญา ความชอบยึดทิฐิ ชอบคลุก เสพอารมณ์เพื่อค้นหาอันติมะซึ่งล้วนเป็นภาระหนักของชีวิต ทำให้จิตใจหนักทึบสูญเสียปัญญา สูญเสียความว่องไวแคล่วคล่อง"

    ตัดตอนมาจาก วันเวลาใน ๔ ทวีป ของท่านเขมานันทะ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ขาดสติ และความเชื่อมั่น การมีสมาธิ ทำให้เกิดความคิดสับสน เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจค่ะ

  • komet
    Lv 7
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    แบบว่า"วอกแว่ก"ไม่มีสมาธิ+ไม่ตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำอยู่.

  • Mor r
    Lv 4
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ส่งความคิดออกไป คาดคะเน กับสิ่งที่ได้สัมผัส ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    พิจารณาจากคำถาม เป็นเรื่องของการพิจารณา จะไม่รู้ด้วยการอ่าน

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    - จิตที่ตั้งมั่น คือจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูผู้ตื่นเป็นสมาธิที่เกื้อกูลกับการเจริญวิปัสสนา มีสภาวะคล้ายๆเรายืนอยู่บนบก แล้วเห็นของไหลมาในน้ำ ดอกไม้ลอยมาเรารู้ กิ่งไม้ลอยมาเรารู้ ลอยมาลอยไป เราอยู่บนบก เราดูอยู่ห่างๆ ใจดูอยู่ห่างๆ ไม่inเข้าไปในปรากฏการณ์นั้น

    -สภาวะที่จิตตั้งมั่น จิตจะตั้งตัวเป็นผู้รู้อยู่ห่างๆ มันจะไม่ in เข้าไปในปรากฏการณ์ เมื่อไม่ in เข้าไปในปรากฏการณ์มันจะเห็นได้ชัด

    จิตไม่ตั้งมั่น

    - คือจิตมันหาย ผู้รู้ผู้ดูหายไป กลายเป็นผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่งไป ก็เรียกว่าจิตมันขาดสมาธิ จิตไหลไปตามอารมณ์ เวลาดูลมหายใจจิตจะอยู่ที่ลมหายใจ เวลาดูที่ท้องจิตจะไหลไปอยู่ที่ท้อง เวลาคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้จิตจะไหลไปอยู่ในโลกของความคิด เรียกว่าจิตเราinเข้าไปในปรากฏการณ์

    -ถ้าเมื่อไหร่เรา in เข้าไปในปรากฏการณ์ เราจะเห็นปรากฏการณ์ไม่ชัด มองไม่ตรงความจริง ...ตัวอย่างที่ปรึกษาหรือหมอดูเขามองง่ายกว่าเราทั้งๆที่ไม่น่าเก่งกว่าเรา ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าเรา ข้อมูลเราก็รู้เยอะกว่าเขาแต่เยอะจนถูกข้อมูลถมทับเอา จนมองอะไรไม่ออกเลย นี่แหละเราถึงต้องไปจ่ายค่าจ้างให้เขาดูเราเพราะจิตเราไม่ตั้งมั่น

    -ถ้าเราถอนตัวขึ้นมา เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์จิตก็จะตั้งมั่นมีสมาธิ คือจิตที่ถอนตัวออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์เราจะเห็นโลกเป็นไปตามความเป็นจริง เห็นรูปเห็นนามเห็นกายตามความเป็นจริง ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เกิดแล้วดับทั้งสิ้นคือไตรลักษณ์ เห็นอย่างนี้ เห็นแล้วเห็นอีก ในที่สุดจิตจะวาง มีแต่ทุกข์ล้วนๆไม่รู้จะเอาไปทำไม มีแต่ของไม่เที่ยงไม่รู้จะเอาไปทำไม มีแต่ของที่ไม่ใช่เรา พึ่งพาอาศัยไม่ได้ น่าเบื่อหน่ายเพราะฉà��°à¸™à¸±à¹‰à¸™à¸ˆà¸´à¸•à¸ˆà¸°à¸§à¸²à¸‡à¹„ด้ด้วยการเดินปัญญา.... เดินปัญญาได้ก็ต้องมีการฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีสมาธิขึ้นมา

    -หากจะสรุปโดยใช้คำง่ายๆก็คือเวลาเรานั่งสมาธิ “ขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับมือซ้าย กายตั้งตรง เป็นลักษณะกายหยาบภายนอก ส่วนกายภายในคือลมหายใจเรียกว่ากายละเอียด เมื่อนั่งไปเกิดเวทนาที่ขาเราก็แค่รู้ว่ามันเป็นเวทนาไม่ต้องเอาจิตเข้าไปอยู่กับมันเพราะมันคือไตรลักษณ์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไม่ใช่ตัวเขาตัวเรากำหนดรู้ด้วยปัญญาคือธรรม เมื่อเราฝึกจิตดีแล้วเราจะละวิตกละวิจารณ์ได้ไวคือเข้าสู่ฌานที่2”

    ......นี่แหละศีล....สมาธิ....ปัญญา......จิตตั้งมั่นมีสมาธิ...... กายในกาย.. เวทนา.. จิต.. ธรรม..........เดินปัญญา.......ห ยุ ด นิ่ ง................

    -จิตตั้งมั่นเป็นสภาวะธรรมจากปฐมฌานไปสู่ฌานที่2…3….4

    -หวังว่าคงได้คำตอบนะครับ

    แหล่งข้อมูล: ปฏิบัติบูชา
  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    ยังไม่มีสมาธิเพียงพอ ที่จะไม่ไปคิดถึงสิ่งใด ยังติดอยู่กับอารมณ์ ความคิด ในขณะนั้น จึงไม่ตั้งมั่น

  • MI1
    Lv 4
    1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    "ไม่ตั้งมั่นอยู่ภายใน" คือสภาวะขณะนั้น หากรู้เท่าทันก็จะควบคุมได้ หากไม่รุ้เท่าทันก็จะไหลไปตามกระแสนั้นๆ ได้ อาศัยการฝึกพิจารณา สำรวจ สติ เป็นสำคัญ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    นิพพานัง ปรมัต สูญญะ

    การเดินทางสู่ทางสายกลาง

    ไม่มุ่งไปปรุงแต่งอยู่ภายนอก

    ไม่ยึดติดอยู่ภายใน

    เมื่อไม่มีทั้งสองอย่าง

    ย่อมไม่มีหนทางหรือแดนเกิดของ ชาติ ชรา มรณะ และทุกข์

    น่าจะพอเข้าใจนะครับทุกสิ่งทุกอย่างเขาให้เราเข้าไปทำความรู้จักแล้วปล่อยวางซะอย่าไปยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    อย่างเช่นศีล สมาธิ ให้รับรู้ ให้ปฏิบัติแล้วสุดท้ายก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาแล้วจงปล่อยทิ้งชะ

    คุณก็จะพบกับ

    นิพพานัง ปรมัต สูญญะ

  • 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

    มันน่าจะเป็นกรรมฐานหลักสำคัญข้อนึงเลยนะ มันอยู่ที่ว่าคุณพิจารณาเรื่องอะไรล่ะ ถึงทำให้คุณวางอารมณ์ใจแบบนี้ เช่น หากคà¸��ณพิจารณาเรื่องของร่างกายว่ามันเป็นของไม่ดี มันไม่ใช่เราและเราก็ไม่ใช่มัน เราก็แค่มาอาศัยอยู่กับมันประเดี๋ยวประด๋าว ร่างกายมันไม่เคยเชื่อฟังเรา เราไม่อยากให้มันแก่มันก็แก่ ไม่อยากให้มันป่วยมันก็ป่วย ไม่อยากให้มันตายมันก็ตาย คนที่เรารักเราก็ต้องจากเค้าไป และเค้าก็ต้องจากเราไป เพราะไอ้ร่างกายเลว ๆ นี้แหละ คือ ตัวจอมบงการของความทุกข์ ความเศร้าโศก เสียใจ หากเราไปยินดีในการมีร่างกาย อันโสมม แบบนี้อีก ก็ขึ้นชื่อ ว่าเรายังยึดติดอยู่กับ ตัณหาความอยากมีอยู่ ความโลภ และความหลง มันมอมเมาให้เราต้องมีชาติ มีภพ และยังต้องเวียนว่ายตายเกิดแบบนี้อีก เราตัดสินใจแล้วว่า ชาตินี้จะเป็นชาติสุดเท้ายของเรา เทวโลก พรหมโลก ดีจริง สุขจริง แต่ก็ยังต้องมาเกิดอีก เราไม่ปรารถนาแล้ว เราต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน

    อารมณ์ตั้งอยู่ในเขตของสังขารุเปกขาญาณ หรือนิพพิทาญาณ หรือเปล่าครับ

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้