Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

คำเขียนที่ว่า "ใครไม่เข้าใจความจริงแห่งอริยสัจ ก็เวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป" หมายความว่าอะไร?

แสดงว่า ใครที่เข้าใจความจริงแห่งอริยสัจ ก็ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป อย่างนั้นหรือ?

ผมเห็นว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นปรากฏการณ์แห่งความจริงของคนและสัตว์ในโลกนี้ แต่การเวียนว่ายตายเกิดของวิญญาณจิต มีหลักฐานอะไรที่เชื่อถือได้นำมายืนยันครับว่าเป็นความจริง? ผมเคยได้ยินผู้กล่าวว่าเขา "ระลึกชาติได้" ผมอยากได้ชื่อและที่อยู่หรือตัวอย่างคนเป็นๆที่มีชีวิตอยู่ขณะนี้ ที่นักวิชาการจะส่งคนไปสัมภาษณ์และพิสูจน์ให้เห็นจริง และรู้ว่าเขาพูดความจริง มีบ้างไหมครับ?

อัปเดต:

ขอขอบคุณ คุณซอสามสาย ที่ได้แนบลิ๊งค์เกี่ยวกับ "การระลึกชาติได้" มาให้อ่าน และคำอ้างอิงของ "กรณีศึกษาของ ศาสตราจารย์ เอียน สตีเวนสัน ที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้เช่นกัน"

ผมอ่านแล้วแต่หาเนื่อหาของข้ออ้างอิงไม่พบในลิ๊งค์นั้นแลยครับ เอียน สตีเวนสัน คือใคร? สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอะไร? รายละเอียดของการศึกษาของศาสตราจารย์คนนี้ที่ว่ามีมากกว่า 600 รายนั้น ศึกษาเมื่อไหร่? และอยู่ที่ไหนครับ? ถ้าไม่มี ก็เป็นการกล่าวอ้างอย่างลอยๆ ในเมื่อไม่มีการยืนยันอะไร รู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริง? และผู้เขียนมิได้ยกเมฆ แหกตาชาวบ้านหน้าตาเฉย? ครับผม

อัปเดต 2:

ในลิ๊งค์ของคุณ "นิ่งหลับ" ที่ให้มา ผมได้นั่งดูทั้ง 5 ม้วนของคุณ "Woody" ที่ไปสัมภาษณ์คนในหมู่บ้านนั้นที่ "โลกต้องตะลึง" เพราะมีผู้เขียนหนังสือ(มาขาย)รายงานว่ามีมากกว่า 50 รายในหมู่บ้านนั้นที่ระลึกชาติได้ คุณ "Woody" ได้สัมภาษณ์เด็ก 2-3 รายพร้อมทั้งผู้ใหญ่ 3-4 คน

แต่ผมเห็นว่าการสัมภาษณ์นั้น เป็นการกระทำที่สร้างความฮือฮาให้กับรายการโทรทัศน์ของเขามากกว่า ที่จะต้องการพิสูจน์ความจริงอย่างจริงจังอะไร ตามหลักวิชาการสอบสวนหาข้อมูลและข้อเท็จจริง อย่างที่นักวิจัยหรือนักวิชาการเขาพึงทำกัน

รายสุดท้ายเป็นชายหนุ่มที่ระลึกชาติได้ว่า มีสมบัติฝังอยู่ในหมู่บ้านนั้น 2 แ��่ง แล้วพาไปชี้สถานที่ให้ดู แต่เมื่อลงมือขุดกันจริงๆแล้ว ไม่เจออะไร (อาจขุดไม่กว้างหรือไม่ลึกเพียงพอก็ได้นะครับ อยากเอาใจช่วยอยู่ 555)

ใครอยากเชื่ออะไรก็เชิญตามสบาย แต่ผมยังเฝ้าคอยหาหลักฐานที่มีน้ำหนักกว่านี้สักนิด อาจจะมีก็ได้ ครับผม

อัปเดต 3:

ขอตอบคุณ "IknowWhatYouAreDoing" ในรู้รอบเป็นเวทีที่สมาชิกทุกท่านมีเสรีภาพในการตั้งคำถามและตอบคำถามเพื่อแสวงหาความรู้ประดับตัวและเรียนรู้จากซึ่งกันและกัน ผมยังมิได้บรรลุโสดาอะไรและยังสนใจความจริงทางฝ่ายวิญญาณจิตอยู่เสมอ ในเรื่องนี้ไม่มี "Your turf, or my turf. They are all our turfs" ครับผม

อัปเดต 4:

ขอขอบคุณ "คุณกุหลาบแดง" ที่ขยายความอริยสัจสี่มาอย่างชัดเจน ผมเห็นด้วยกับข้อความทั้งหมด แต่ลงท้ายคุณก็ไม่ได้ตอบกระทู้ที่ว่า "ใครที่เข้าใจความจริงแห่งอริยสัจ ก็ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป" จริงหรือไม่? คุณเพียงบอกว่า "จิตก็จักเป็นสุข หมดความเบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจ" ได้เท่านี้คงเพียงพอใช่ไหมครับ? ขอบคุณครับผม

10 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 10 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นมิสขอให้กำลังใจในการถามและการเสียสละเวลาเข้ามาให้ความรู้ แแง่คิด ประสบการณ์ชีวิตอันมีค่าแก่ที่นี่ คุณช่างสุภาพและรอบรู้ มิสประทับใจและขอชื่นชม....จากคำถามมิสเข้าใจว่า ความเข้าใจเรื่องอริยสัจสี่อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องปฏิบัติกรรมฐานด้วยจึงจะพ้นการเวียนว่ายตายเกิด

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นพระอริยะ เป็นผู้ประเสริฐได้ อริยสัจ 4 ประกอบด้วย

    1. ทุกข์ ( ธรรมที่ควรรู้ ) หมายถึง ความรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ เป็นสภาพบีบคั้นจิตใจและร่างกายให้ทนได้ยาก เมื่อทุกข์เกิดขึ้น บุคคลจะไม่สามารถละหรือคลายทุกข์ได้

    2. สมุทัย (ธรรมที่ควรละ ) หมายถึง ต้นเหตุที่ให้เกิดทุกข์หรือปัญหา ซึ่งได้แก่ ความต้องการหรือที่เรียกว่าตัณหา มี 3 ประกายคือ กามตัณหา คือความปรารถนาในกามไม่หยุดหย่อน ภวตัณหา คือความอยากมีอยากเป็นไม่เพียงพอ และวิภวตัณหา คือความไม่อยากมีไม่อยากเป็นจนทุกข์

    3. นิโรธ ( ธรรมที่ควรบรรลุ ) หมายถึง สภาวะที่ทุกข์หมดสิ้นไป สภาพที่ปราศจากทุกข์ มีแต่ความสงบร่มเย็น สภาวะที่จัดเป็นนิโรธนี้ถือเป็นที่สูงสุดในการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธ เป็นยอดปรารถนาของคนทั่วไปคือความดับทุกข��¹Œ

    4. มรรค ( ธรรมที่ควรเจริญ ) หมายถึง ข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการมีสัมมาทิฐิ คือความเห็นชอบ

    การรู้สภาวะที่แท้จริงของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ เป็นทุกขสัจ ที่พระอริยเจ้าจักต้องยอมรับนับถือ สภาวะที่แท้จริงของร่างกายไม่มีใครเขาฝืนมันได้ ยิ่งฝืนมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ร่างกายมันเป็นไปตามสภาวะปกติของมัน คือ ทำงานหนักมากเกินกำลัง มันก็เสื่อมโทรมให้เห็นปรากฏชัด เป็นเวทนาอยู่ภายใน หากจิตรับทราบเวทนานั้นแล้ว วางเป็นสังขารุเบกขาญาณ คือยอมรับสภาพของร่างกายในขณะนั้น ๆ จิตก็จักไม่ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากสภาวะนั้น ซึ่งไม่มีใครพ้นไปได้ เมื่อยอมรับ จิตก็จักมีความสุข ด้วยความเห็นร่างกายนี้ มีความเสื่อมไปตามปกติของมัน"

    ๒. "ประการสำคัญต้องรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้มิใช่เรา มิใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จิตก็จักผ่อนคลายจากความยึดเกาะในเวทนานั้น ดังนั้นการกำหนดรู้ว่าร่างกายเสื่อมนั้นเป็นของจริง จิตก็ควรจักยอมรับความจริงนั้น ๆ"

    ๓. "ในเมื่อรู้ก็สมควรพัก ดูความเสื่อมและเห็นความดับไปของความเสื่อมนั้น เมื่อร่างกายได้พักพอสมควรแล้ว ก็จักเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายอย่างชัดเจน"

    ๔. "บุคคลผู้รู้จริง จักไม่ฝืนสภาพของร่างกายกล่าวคือไม่มีความเบียดเบียนร่างกายให้เกินไปกว่ากฎธรรมดา (ผู้เห็นทุกข์จริงจะไม่ฝืน และไม่เพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง)"

    ๕. "กฎธรรมดาคืออะไร อย่างร่างกายแก่ก็ไม่ฝืนความแก่ อย่างสตรีแก่แต่ไม่ยอมแก่ ไปผ่าตัดเสริมสาว ทำร่างกายให้เจ็บปวดก็เป็นการเบียดเบียน หรือคนเจ็บป่วยมีหนทางรักษา แต่ฝืนกฎธรรมดา ไม่ยอมรักษา ไม่ยอมใช้ยา ไม่ยอมหาหมอก็เบียดเบียนร่างกาย อย่างร่างกายเสื่อม ต้องการเปลี่ยนอิริยาบถ จิตไม่รู้เท่าทัน ถือ ทิฎฐิ นั่งนาน ยืนนาน เดินนาน นอนนาน ก็ฝืนกฎธรรมดา คือ เบียดเบียนร่างกายเช่นกัน"

    ๖. "คำว่าสังขารุเบกขาญาณ ต้องแปลว่า วางเฉยอย่างรู้เท่าทันในกองสังขารทั้งปวง คือ ยอมรับกฎธรรมดาอันเป็นความจริงของสภาพร่างกาย"

    ๗. "อย่าคิดว่า เกิดมาชาตินี้ ขอมีร่างกายเป็นชาติสุดท้าย แล้วตะบี้ตะบันใช้งานมันไปอย่างไม่มีปัญญา ร่างกายถูกเบียดเบียนเท่าไหร่ จิตอาศัยเป็นเครื่องอยู่ ก็จักมีเวทนาที่ถูกเบียดเบียนเท่านั้น"

    ๘. "จักต้องรู้จักกฎธรรมดาของร่างกาย จิตจึงจักอยู่เป็นสุขได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ร่างกายมันมีความสกปรก ต้องอาบน้ำชำระล้างทุกวัน จิตเหมือนคนอยู่ในบ้าน บ้านสกปรกตามกฎธรรมดาของโลก ถ้าไม่เช็ดไม่ล้างไม่ถูกให้สะอาด คนอยู่จักหาความสบายใจได้หรือไม่ ร่างกายก็เช่นกัน กฎธรรมดามันเป็นอย่างนั้น ถ้าฝืนกฎธรรมดาไม่อาบน้ำให้มัน จิตก็ทุกข์ไม่สบายใจเช่นกัน"

    ๙. "นี่คือธรรมในธรรมของร่างกาย ที่เจ้าจักต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อก้าวไปสู่อารมณ์ สังขารุเบกขาญาณที่ถูกต้อง โดยไม่ฝืนกฎธรรมดาของร่างกาย"

    ๑๐. "จำไว้ธรรมของตถาคต ต้องเป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจ ยอมรับกฎธรรมดาของร่างกายและจิตใจ เช่น

    ก) ทุกข์ของร่างกาย หรือโรคของร่างกาย ระงับได้ ก็พึงระงับอย่างรู้ เท่าทัน

    ข) ทุกข์ของจิตใจ หรือโรคของจิตใจ อันได้แก่สังโยชน์ ๑๐ ก็จักต้องกำหนดรู้กฎธรรมดาของอารมณ์ที่ยังมีสังโยชน์นั้น ๆ เห็นการเกิดการดับไปของอารมณ์ที่ยังมีสังโยชน์นั้น ๆ แล้วพึงอาศัยพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคตเป็นยารักษาโรคหรือทุกข์ของจิตใจ ให้หายขาดจากโรคนั้น ๆ

    ๑๑. "อารมณ์กำหนดรู้จักต้องà¸��ี รู้ร่างกาย รู้จิตใจ รู้ระงับ รู้รักษา ให้ตรงจุดที่เป็นโรค จิตก็จักเป็นสุข หมดความเบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจ"

    http://www.tangnipparn.com/page2_b00k6.html

    ใครไม่เข้าใจความจริงแห่งอริยสัจ ก็เวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป***

    คำสอนทุกคำสอนและคำกล่าวหลายๆคำกล่าว ก็คงเป็นเช่นการบอกกล่าวให้คนเรามีความมุ่งมั่น

    เหมือนกุศลโลบายในการให้คนดำเนินชีวิตค่ะ ถ้าเราเข้าใจถึงความไม่เที่ยงข��¸­à¸‡à¸ªà¸±à¸‡à¸‚าร และเราน้อมรับหมั่นสร้างความดีไม่หลงในรัก โลภ โกรธ หลง เราก็จักเพียงเกิดมาใช้กรรมดีและกรรมชั่วของตนเองที่สะสมมา เมื่อกรรมดีละกรรมชั่วหมดแล้วเราก็จักไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ซึ่ง ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริงๆแล้วไม่ง่ายนักในการบำเพ็ญจิต ให้สงบเฉย ไม่หลงในสิ่งต่างๆ แต่อย่างที่บอก คงเป็นกุศลโลบายที่กระทำแล้วไม่เสียหายและไม่เบียดเบียนกัน ถ้าทุกคนกระทำได้ก็อยูู่่กันอย่างสงบค่ะ..สิ่งเหล่านี้คือความเชื่อค่ะ ที่เราสามารถมองเหตุและผลและตอบตนเองได้วาจะเชื่อหรือไม่ โดยส่วนตัว สาเชื่อค่ะ เหตุผลที่เชื่อเพราะ ถ้าเรามัวลังเลสงสัยในเรื่องใดๆก็ตามก็ไม่สามารถมีจุดมุ่งหมายที่แน่วแน่ของตัวเองได้ แต่จะแสวงหาคำตอบไปเรื่อยๆโดยไม่รุ้ว่าสุดท้ายคำตบอยู่ตรงไหน ทำให้เสียเวลาค่ะ สาเอาเวลาเหล่านั้นที่จะแสวงหาคำตอบมาพิจารณาและปฏิบัติ อย่างน้อยจิตก็สงบค่ะ และเป็นสุขค่ะ..

  • Singha
    Lv 6
    10 ปี ที่ผ่านมา

    เป็นเรื่องรู้ได้ด้วยตนเอง พิสูจน์ทราบจากผู้อื่นไม่ได้เลย

    คำบอกเล่าต่าง ๆ นั้นหามีสิ่งใดยืนยันพิสูจน์ได้

    ต้องปฏิบัติเองโดยวิธีกัมฐานเท่านั้น

    ความสงสัยจึงจะหมดไปครับ

    สิบปีที่แล้วผมใคร่รู้ เมื่อพิสูจน์ไม่ได้

    จึงปฏิบัติเองซะเลย ท้าทายดี

    ได้ผลเกินคาด วันนี้ไม่สงสัยแล้วครับ

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    อริยสัจ(มงคลชีวิต 38 ประการ) หมายถึงความจริงอันประเสริฐ ถ้าสามารถปฏิบัติโดยครบถ้วนบริบูรณ์ก็จะหลุดพ้น

    ๑.ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ

    ๒.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

    ๓.นิโรธ คือความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ความหลุดพ้น

    ๔.มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์

    http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A...

    สงสารวัฏ หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม วิบาก หมุนวนอยู่เช่นนั้นตราบเท่าที่ยังตัดกิเลส กรรม วิบากไม่ได้

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0...

    บงกช พรหมศิลป์ จำอดีตชาติได้..

    ปัจจุบันนี้(๒๕๕๓) ทำงานเป็น สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และมีตำแหน่งเป็น หน้าห้องของนายอำเภอ ประจำอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์

    https://sites.google.com/site/reincarnationthailan...

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    ...ก่อนอื่นต้องขอกล่าวว่า ผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้นะครับแต่เห็นว่า

    ท่านชายชาติ อยากได้ข้อมูล ก็ลองสืบค้นดู ได้พบกรณีศึกษาของ

    ศาสตราจารย์ เอียน สตีเวนสัน ที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้เช่นกัน

    จึงนำมาฝากครับ...

    http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_...

    ...ผมส่งข้อมูลมาให้อีกชุด เผื่อจะมีประเด็นที่แก้ข้อสงสัยของท่านได้...

    http://sites.google.com/site/reincarnationthailand...

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    10 ปี ที่ผ่านมา

    ก็ในเมื่อเรายังเป็นผู้ไม่รู้ในทุกข์ ไม่รู้ในสาเหตุแห่งการเกิดและดับทุกข์มันก็ต้องเวียนว่ายต่อไปเพื่อที่วันหนึ่งวันใดเราจะสามารถรู้เหตุและรู้ผลในตัวมันเอง เปรียบได้เสมือนกับการสอบว่ายน้ำคือว่ายจนกว่าจะข้ามไปอีกฝั่งได้น่ะค่ะ

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    คนเราทุกคนมาจากดินเมื่อถึงเวลาเราก็กลับสู่ดินโดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดชักเท่าไร่

    เพราะในชีวิตคนเรานั้นเมื่อตายจิตก็ดับศูนย์แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ยังคงมีรัก โลภ โกรธ หลงส่วนบุคคล

    ที่บอกว่าสามารถระลึกชาติได้นั้นเราก็ไม่อาจที่จะไปลบหรู่ได้แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องของเวรกรรมนะเราะเชื่อว่ามีจริง

    มีจริงๆ

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    10 ปี ที่ผ่านมา

    คิดและไตร่ตรองอยู่ว่าจะตอบว่าเช่นไร เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดประเด็น เคารพในความแตกต่่างทางความเชื่อ

    คือเคยมีเพื่อนชวนไปศาสนสถานหนึ่งที่เขาไปเข้ามาใหม่และต้องการให้เราไปร่วมกับเขาด้วย จึงคิดว่าคล้ายๆกับตอนที่เพื่อนบอกว่า ...

    หากไม่พบพระเจ้า เราก็จะไม่ได้รับการ save ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ พวกยิว พุทธ อิสลาม ฮินดู ฯลฯ ยังงมงายอยู่ในนรก

    คล้ายๆกับว่า ใครไม่นับถือก็จะไม่ได้รับการปกป้องว่างั้นเหอะ สำหรับตัวผู้ตอบนะ ไม่ว่าใครจะนำอะไรมากล่าว เราเองจะรับฟังด้วยวิจารณญาณ ก่อนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ให้สิ่งเหล่านั้นมาทำร้าย ทำลาย หรือทำให้เขว หรือเปิดประเด็น แม้แต่ลิ๊งค์อะไรที่เขาแนบมาให้ดูว่านี่ไงหากไม่เชื่อก็ให้ดูว่า การพบà¸��ระเจ้าของเขา จะ save เราได้อย่างไร หรือ การไม่เข้าใจอริยสัจสี่ จะเกิดอะไรขึ้น ก็คงจะเป็นประเด็นที่คล้ายๆกัน

    ดังนั้นการที่เรา "I stay on my own turf; and you stay on your own turf" จึงดูจะเป็น policy ที่เหมาะสมที่สุด คือหากเราสนใจที่จะเข้าใจด้วยความบริสุทธิใจจึงเข้าไปศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตใจ ให้บรรลุถึงในสิ่งที่เราเชื่อของเราให้ดีที่สุด เพราะหากไม่สนใจก็เดินออกมา ใช่ว่าจะสนใจแบบถามหาเพื่อหาเรื่องกลายๆ

    * * * * ก ลั บ ม า เ ขี ย น เ พิ่ ม * * * *

    แน่นอน คนที่พอใจใจการก้าวเกินเขตคนอื่น หรือเป็นผู้ที่จงใจจะละเมิด ย่อมให้เหตุผลอธิบายการกระทำของตัวคุณว่า your turf, my turf, they are our turfs. Excuse moi monsieur...(ภาษาฝรั่งเศส) it is N O T !!!! (ภาษาอังกฤษต่อ 555) บ้านของใครก็อยู่ในบ้านของมันคนนั้น จะเที่ยวมายืนอยู่ในบ้านคนอื่นทั้งๆที่ไม่มีสิทธิแล้วยังจะสะเหร่อมาแหย๋มว่า บ้านเราเหมียนกัลล์ "ours จ้ะ honey" ห๊า... หน้าด้านไปป่าว....อ่ะจร๊า

    มันเป็น bad boundary/poor judgement ที่คุณยังไม่มีทั้งๆที่สูงวัยนะน่าสมเพชจัง (คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นซะมากกว่า) อ้อ..อีกอย่าง คนอย่างคุณอ่ะนะ คงไม่มีเจตนาจะต้องการให้บรรลุโสดาหรอกมั้ง เพราะคำนี้ใช้กับศาสนาที่ปัจจุบันคุณไม่ได้นับถือหรือปฏิบัติไม่ใช่หรือ? น่าจะพูดว่าอยากจะบรรลุสันตปาปาหรือจะอะไรก็แล้วแต่เพราะไม่เคยใส่ใจ คุณไม่ได้สนใจจิตวิญญาณเพื่อจะให้เป็นคนดีอย่างแท้จริงแต่คุณสนใจจิตวิญญาณเพื่อจะได้มีความรู้คร่าวๆไว้ดูถูกดูหมิ่นศาสนาคนอื่น ระวังปากไว้บ้าง.... ค รั บ ผ ม

  • on-ces
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    ขอตอบเฉพาะในความหมายของ "ใครไม่เข้าใจอริยสัจ ก็เวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป"ค่ะ

    โดยข้อนี้ไม่ได้หมายความถึงความเข้าใจแบบที่เราเรียนหนังสือกัน

    ไม่ใช่การท่องจำความหมาย หรือจิตนาการถึงความหมายว่าในอริยสัจมีอะไรบ้าง

    และแต่ละตัวหมายความว่าอย่างไร แต่เข้าใจแบบพุทธนั้น

    คือจิตสะสมความจริงจนเต็มที่ แล้วเกิดปัญญารู้แจ้งเป็นลำดับขั้น

    คือโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามีมรรค และอรหัตมรรค

    ทำอย่างไรถึงสะสมความจริงได้?

    เดิมเราไม่รู้ว่ากายใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน

    เราจึงหลงยึดว่านี่ของเราตัวเรา อยากให้มันเป็นสุข

    เมื่อไม่สุขก็ดิ้นรนให้สุข แต่เมื่อรู้ลงในรูปกับนามด้วยสติและสัมปชัญญะ

    คือความรู้เนื้อรู้ตัวเป็นระยะๆ ก็จะค่อยแจ้งขึ้นมาว่าที่เคยเห็นว่าตัวเรานี่เที่ยง

    แท้จริงแล้ว เป็นสภาวะที่เกิดแล้วก็ดับไปค่ะ

    เช่น เห็นความโลภเกิดึ้นมา ความโลภก็ดับไผ เห็นความโกรธเกิดขึ้นมาความโกรธก็ดับไป

    เห็นความหลง(รู้ไม่ชัด เบลอๆ)เกิดขึ้นมา ความหลงก็ดับไป

    บังคับให้ดับไปไม่ได้ เกิดเองก็ดับเอง และหาใช่ตัวตนไม่

    หากอยากพิสูจน์นั้นคือต้องพิสูจน์ด้วยจิตของคุณเองค่ะ

    ใครมาอ้างว่ามีตาทิพย์ ญาณวิเศษอะไรก็คงจะไม่เชื่ออีกเป็นแน่

    เห็นกิเลสมันบางลง ก็แจ้งแก่ใจ ไม่ต้องให้ใครมาบอกอีกต่อไป

    ว่าทางไปนิพพานไม่ใช่ของหลอกเด็ก

    แต่หากสงสัยแล้วนั่งคิดไปเรื่อยก็ไม่ป��¸£à¸°à¸ˆà¸±à¸à¸©à¹Œ เพราะศาสตร์นี้อาศัยจิตเป็นผู้รู้

    ไม่ใช่จิตเป็นผู้คิดเพียงอย่างเดียว

    สำหรับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ถ้าคุณหาเครื่องที่วัดความสุขความทุกข์ได้

    ก็วัดได้ว่าวิธีนี้ทำให้เป็นสุขขึ้นได้จริงหรือเปล่าค่ะ

    ปล.1 เราก็เป็นผู้เดินทางค่ะ ยังไมได้เป็นพระโสดาบัน

    ยังต้องรักษาศีล5 อยู่ค่ะ เดียวจะเข้าใจว่าถ้าไม่เขียนอย่างนี้เป็นอันว่าเรายอมรับว่าได้แล้ว

    ปล.2 ถ้าไม่เคยเรียนก็จะงงกับคำตอบนี้นะคะ ลองปฏิบัติดูค่ะ

    เว็บที่แนะนำคือ www.wimutti.net

    สงสัยแบบนี้ก็ดีนะคะ

    ภายหลังจะกลายเป็นความรู้ที่ตั้งอยู่บนฐานอันมั่นคง

    ใครมาว่าอย่างไรก็ไม่เชื่อ เพราะพิสูจน์มาเองทุกศาสนาด้วยตัวเอง

    โปรดอ่านและตอบกันด้วยพิจารณา บนพื้นฐานของความเมตตาค่ะ -/\-

    เมื่อก่อนก็เป็นแบบคุณค่ะ แรงกว่าด้วย ^_^ แต่เราก็พิสูจน์ของเรามาได้นะ

    อย่าเลิกนะคะ

  • ?
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    อยากพิสูจน์นี่เลย หมู่บ้านนี้ค่ะ

    แหล่งข้อมูล: http://www.youtube.com/watch?v=3_6vxPTFSTY
ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้