Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

ถ้ากรรมเป็นผู้สร้างโลก และ สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง กลไกของกรรมมีอะไรทีเป็นสิ่งกำหนดว่าใครไปเกิดเป็นอะไร?

กระทู้นี้มาจากคำตอบของคุณ "ningnong" ที่ตอบคำถามของผม "เกี่ยวกับกฏแห่งกรรม" ว่า ศาสนาพุทธ ๑ ไม่มีหลักเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก แต่มีหลักเชื่อว่า กรรมเป็นผู้สร้างโลก และ สร้างสรรพสิ่ง (กัมมุนา วัตตะตีโลโก)

ผมอย่าทราบว่า มีอะไรเป็นกลไกของการกำหนดว่า ใครจะเกิดเป็นไส้เดือน กิ้งกือ หรือ ผีเปรต เทวดา หรือเป็นมนุษย์ในสี่วรรณะอะไร หรือเมื่อไหร่ มีหลักวิชาการที่มีเหตุผลและน่าเชื่อถืออย่างไรบ้างใหม? นอกเหนือจากการกล่าวลอยๆและปราศจากหลักฐานอ้างอิง หรือหลักการณ์ที่นำมาวิเคราะห์หรือศึกษากันให้ชัดเจนได้ มีไหมครับ?

อัปเดต:

คุณ AuntySally ครับ ถ้าคุณจะตั้งกระทู้ถามเรื่องหลักฐานและเหตุผลสนับสนุนการสร้างโลกของพระเจ้า ผมจะพยายามชี้แจงให้ทราบว่าเหตุไดผมจึงคิดว่า เหตุผลที่ผมเชื่อเช่นนั้นก็มีน้ำหนักมากกว่าที่จะไม่เชื่ออย่างนั้น ครับผม

อัปเดต 2:

คุณ "เจ้าหมาน้อย น่าสงสาร" ถ้าคุณจะตั้งกระทู้ถามในสื่ิงที่คุณยังไม่กระจ่างและมีความสงสัย ย่อมทำได้และผมจะเข้ามาตอบตามความคิดเห็นและความรู้ที่ผมมีในศานาคริสต์ ไม่ต้องเกรงใจในการแสวงหาความจริงใดๆทางฝ่ายวิญญาณจิตหรือศาสนาใดๆนะครับ ขอให้ทำกันอย่างสุภาพและให้เกียรติแก่ความเชื่อและความแตกต่างของเราแต่ละคน ก็เป็นที่เพียงพอสำหรับผมแล้วครับ สื่งใดที่ผมไม่รู้ผมก็จะศึกษาต่อไป สิ่งใดที่ผมรู้ผมจะชี้แจงให้อย่างตรงไปตรงมา ครับผม

อัปเดต 3:

ขอขอบคุณ "คุณPolar" ที่ได้ตอบและทำลิ๊งค์มาให้ดู ทั้งคำตอบและลิ๊งค์ก็มีคำอธืบายให้อ่านได้อยู่ แต่ข้ออ้างอิงเกี่ยวกับกลไกท่อลำเลียงหลักการซึ่งเป็นตัวกำหนดอยู่ที่ไหนครับ? มีรายละเอียดของคำสอนจากแหล่งความรู้ใดที่น่าเชื่อถือหรือไม่? ถ้าไม่มีก็แล้วไปครับ ใครอยากเชื่ออย่างไรก็ถือว่า เป็นเสรีภาพของแต่ละบุคคลก็แล้วกัน ขอรับทราบว่าคำตอบที่ผมแสวงหานั้น ยังไม่มี ครับผม

อัปเดต 4:

คุณก๋วยเตี๋ยวครับ ที่คุณว่า "เรื่องกรรมสร้างโลกผมว่านะ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์..."

ผมก็เห็นด้วยอย่างนั้นครับ และวิทยาศาสตร์กับสัจธรรม ก็ไม่แย้งกันนะ ครับผม

อัปเดต 5:

คุณ "เจ้าหมาน้อย น่าสงสาร" ความงมงายมีอยู่ในทุกศาสนา การกำจัดความงมงายก��คือการแสวงหาความรู้และความจริงเท่านั้น ในชุมชนนี้อย่าได้คิดว่า ผู้รู้จริงในศาสนาพุทธไม่มี ผมต้องการหาความรู้จากท่านผู้รู้ นี่คือประเทศไทย ซึ่งมีประชากรนับถือพุทธ 85-90% ผมต้องการอ่านความคิดเห็นของคนเหล่านั้น ถ้าคุณไม่สบายใจในคำถามของผม ผมยินดีรับฟัง ผมมีความหนักแน่น มีความรับผิดชอบ และมีวุฒิพอที่จะรับคำถามและความเห็นที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำถามของผมเอง จะเห็นด้วยหรือไม่ หรืออย่างไร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องใช้วิจารณญาณกันอีกที ครับผม

อัปเดต 6:

"AuntySally" อีกครั้ง ขอบคุณที่เข้ามาให้คำตอบเพื่มเติมครับ เห็นด้วยกับข้อคิดทุกประการ แต่ขอเพิ่มความเห็นประกอบข้อความที่คุณเขียนที่ว่า "การแสดงความเห็นเป็นสิทธิของมนุษย์ อย่างไรก็ดี ความเห็นที่ต่างกัน ก็อาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาทได้"

ความเห็นที่ต่างกันก็เป็นสิ่งสามัญที่ต้องมีอยู่ในรู้รอบครับ แต่การทะเลาะวิวาทเป็นการแสดงอารมณ์ข่มปัญญาและข่มความคิดที่จุกตันในก้อนเนื้อก้อนหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ระหว่างใบหูสองข้าง ครับผม

อัปเดต 7:

คุณ "The Kingdom" ขอบคุณครับ ผมรับทราบและสรุปได้ว่า ตามความเข้าใจของคุณก็คือ กรรมติดกับใจและใจสร้างกาย เมื่อวิญญาณจิตออกจากร่างกายนี้แลัว กรรมก็ติดไปกับวิญญาณไปเป็นส่วนเดียวกันที่ไม่มีการแยกกันไป ใช่ไหมครับ? เห็นด้วยกับคุณในประโยคสุดท้ายคือ "ก็อย่างว่า 'ต้องใช้วิจารณญาณ' กันอีกที ฮี่ ฮี่ ฮี่" ครับผม

อัปเดต 8:

ขอขอบคุณ คุณ ningnong ที่เข้ามาตอบด้วยความจริงใจและระบายความรู้สึกและประสบการณ์ที่ยาวน่าอ่าน ผมคิดว่า คุณคงไม่แน่ใจนักว่า พระเจ้า ผีศางเทวดา หรือ พระภูมิเจ้าที่ มีจริงๆหรือไม่ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน และ ความคิดเห็นของคุณที่ว่า "อภิธรรมคำสอน มีบาทเป็นทางอยู่ ใน ปติจสมุธบาท <----คัมถีร์เล่มนี้ก็ยังถกเถียงกันว่า ท่านพุทธโฆษาจาร์ย รสนาขึ้นเองหรือ มาจากพระโอษฐ์ กันแน่" แต่คุณก็ไม่อยากไปแย้งใคร ใครจะเชื่ออย่างไรก็เชิญตามสบาย ไม่เบียดเบียนความคิดของใคร ถามก็ไม่อยากถามเพราะอาจมีเรื่อง ใช่ไหมครับ? ขอบคุณในความเป็นปัจเจกและมีเอกลักษณ์ของคุณ ผมคิดว่ามีคนเห็นด้วยกับคุณเยอะ ครับผม

อัปเดต 9:

คุณ T.K ขอบคุณครับที่เข้ามาพร้อมกับคำถามมากมาย ถ้าคุณจะตั้งกระทู้ไหม่ขึ้นต่างหาก ผมจะเข้ามาตอบให้ครับ เพราะถ้าตอบที่นี่จะยาวเกินไปไม่เหมาะ เกี่ยวกับความ "ยุติธรรม" ของพระเจ้า ผมขอตอบสั้นๆว่า พระเจ้า "is not fair" แต่ว่า พระเจ้า "is just" คำถามต่อไปก็คือ คำว่า "just" and "fair" มีความหมายเหมือนกันและแตกต่างกันอย่างไร? ถ้าคุณหรือใครถาม ผมจะตอบ ครับผม

8 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 10 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    คุณว่า...โลกนี้มีความยุติธรรมมั้ย ?...ธรรมชาติมีความยุติธรรมมั้ย ? ..และ พระเจ้ามีความยุติธรรมมั้ย ?

    ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมาต่างกัน ทำไมมนุษย์ไม่เกิดมารวย สูง ต่ำ ดำ ขาว สุขสบาย สมหวัง แข็งแรง หรือ อ่อนแอ จน พิการ ระทมทุกข์ ให้เหมือน ๆ กันไปทั้งหมดทุกคน

    ทำไมสัตว์ถึงไม่มาเป็นมนุษย์ แล้วทำไมมนุษย์ไม่ไปเกิดเป็นสัตว์ มนุษย์ตายแล้วไปไหน แล้วสัตว์ล่ะ..ตายแล้วไปไหน ???

    ในฐานะที่คิดว่าพระเจ้าท่านเป็นผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่งในโลก ... คุณคิดว่า..พระเจ้ามีความยุติธรรมมั้ย ?....

    ถึงอิฉันจะเคยเข้าโบสถ์ที่มหาวิทยาลัยของอิฉันทุกวันอาทิตย์

    แต่อิฉันขอตอบในฐานะที่นับถือศาสนาพุทธแล้วกันนะคะ ธรรมะในศาสนาพุทธนั้นมีพื้นฐานมาจากธรรมชาติและความเป็นธรรมดา

    ดังนั้นเหตุที่ทุกอย่างมันต่างกัน ก็เป็นธรรมดา เพราะกรรมที่แต่ละคนทำ มันต่างกัน กรรมแต่ละอย่างที่กระทำ ย่อมก่อให้เกิดผลต่างกัน เช่นเดียวกับเมื่อเราหว่านข้าวในนา ผลที่ได้ย่อมเป็นข้าวนั้นเสมอ มันไม่มีทางที่จะเป็นมะม่วง มะนาวไปได้

    และยังจำแนกลงไปได้อีกว่า เมื่อคุณหว่านข้าวพันธุ์เลว ผลที่ได้ย่อมเลว หากคุณไม่สำนึกคุณก็ย่อมเก็บเกี่ยวได้แต่เมล็ดพันธุ์ที่เลวนั้น

    หรือเมื่อคุณสำนึกได้ว่า คุณได้หว่านเมล็ดพันธุ์ที่เลวลงไป คุณได้พยายามแก้ตัวด้วยการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์นั้นให้ดีขึ้นสมบูรณ์ขึ้น มันก็ทำให้ผลที่ได้ดีขึ้นเช่นกัน

    ผลกรรมก็เช่นเดียวกันการหว่านปลูกเมล็ดข้าวนั่นล่ะค่ะ

    และหากคนที่คิดว่าทำไมบางคนทำชั่วแต่ยังได้ดีอยู่ได้...ก็ต้องถามตนเองว่า คุณปลูกข้าวแล้วคุณเกี่ยวได้ทันทีหรือเปล่า และ คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนหน้าที่จะปลูกข้าวพันธุ์เลว คน ๆ นั้นเขาได้เคยปลูกข้าวพันธุ์ที่ดีหรือเลวมาก่อน ????

    หากจะถามว่ากระทำกรรมสิ่งใด จะได้ไปเกิดเป็นอะไร มีคำตอบให้แน่นอนค่ะ แต่อิฉันไม่เห็นความจำเป็นที่จะสาธยายให้ฟัง เพราะหากอยากรู้อยากศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้จริง ๆ ก็ขวนขวายไม่อยากหรอกค่ะ....

    .................................................................................................

    คุณชายชาติคะ

    อิฉันคงไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณ ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง just หรือ fair หรอกค่ะ เพรา��� อิฉันทราบดีอยู่แล้วค่ะ หากอิฉันมีข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ก็มักจะกราบเรียนถามพระท่านที่วัด ไม่ว่าจะหลวงพ่อ หรือ คุณพ่อบาทหลวงค่ะ เพราะคำตอบที่ได้มักไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีอคติ

    ที่สำคัญศาสนาพุทธเป็นศาสนา ที่อยู่บนพื้นฐานแห่งธรรมชาติและเหตุผล...ไม่บังคับและไม่กล่อมให้เชื่อ...ไม่เลื่อนลอยไร้เหตุผล...ไม่จาบจ้วงล่วงเกินศาสนาอื่น และกล้าให้คนพิสูจน์ค่ะ แต่การพิสูจน์นั้น สมควรมาจากใจที่เปิดกว้างและเป็นกลาง

    แต่การที่คุณพูดมา ก็ทำให้อิฉันเห็นได้ชัดเจนขึ้น ว่าศาสนาพุทธ กับ ศาสนาคริสต์ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจริง ๆ

    เพราะศาสนาพุทธ ทุกอย่าง ทุกสิ่ง ที่เกิดกับทุกชีวิต....Fair ค่ะ แต่ศาสนาคริสต์ จากตามที่คุณพูดก็คงแค่....Just เท่านั้นเอง

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    น่าแปลกจังที่คุณถามหาหลักวิชาการจากพุทธศาสนา

    ทั้งๆที่คุณเชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกซึ่งผมเองก็เห็นว่า ไม่มีหลักวิชาการที่น่าเชื่อถือได้สักนิดเลย

    พระเจ้าสร้างโลก

    สร้างกลางวันกลางคืนในวันที่1

    สร้างดวงอาทิตย์ในวันที่4

    งงมั๊ย ผมยังงงเลย ไม่มีดวงอาทิตยแล้วจะมีกลางวันได้อย่างไร

    พระเจ้าสร้างโลกเมื่อ 4000ปีก่อน แต่ซากฟอสซิลต่างมีอายุตั้งหลายร้อยล้านปีมาแล้ว

    พระเยซูเกิดจากสาวพรหมจรรย์ เป็นไปได้หรือที่เกิดการปฏิสนธิได้โดยปราศจากอสุจิของผู้ชาย

    คงต้องใช้พลังศัรทธาอย่างถึงที่สุดจึงจะเชื่อเรื่องแบบนี้ได้

    แต่เอาเถอะ ผมเชื่อพลังพระเจ้า เพราะพระเจ้าในความคิดชองผมหมายถึงธรรมชาติ และธรรมชาติสร้างทุกอย่างในจักรวาลนี้

    ตอบคำถาม เรื่องกลไกลการกำหนดชาติกำเหนิด

    พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตเป็นตัวกำหนดชาติภพในครั้งถัดไป

    จิตจะกำหนดจากการกระทำของเราในอดีตที่ผ่านมา

    เมื่อคนเราใกล้ตาย จิตจะนึกถึงสิ่งที่ทำทำมา เคยทำดีที่ไหน เคยฆ่าสัตว์ที่ไหน จิตห่วงหาอาวรณ์ต่อสิ่งใด

    คนที่เคยฆ่าสัตว์ ก่อนตายก็จะนึกถึงสัตว์ตัวนั้น จนน้อมนำใจไปผูกพันกับมัน เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์นั้นๆหรือใกล้เคียงกับวิถีชีวิตที่สัตว์นั้นผูกพันอยู่ อาจเกิดเป็นคนก็ได้หรือนกหนูห่วงโซ่อาหารของมันก็ได้

    ที่เล่ามาก็แค่บางส่วนจากหนังสือพุทธ ผมไม่สามารถลงรายละเอียด เพราะว่าผมไม่เคยเชื่อเรื่องโลกหน้า ผมเชื่อว่าตายแล้วก็หมดกัน ไม่มีนรกสวรรค์

    เพราะบางส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องตายแล้วเกิด ผมเห็นว่ามันงมงายไร้สาระ หาที่อ้างอิงวิชาการไม่ได้เลย

    เช่นตายแล้วเกิดเป็นเทวดา ถ้าลองนับอายุเทวดา อายุมากมายกว่าโลกเราซะอีก พระพรหมมีอายุเป็นพันล้านปีอย่างนี้เป็นต้น ทั้งที่เมื่อพันล้านปียังไม่มีสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้เลย แล้วตัวอะไรไปเกิดเป็นพรหม

    เพิ่มเติม

    เหตุที่ผมไม่กล้าหาข้อสรุปทางวิชาการเกี่ยวกับหลักความเชื่อทางศาสนา เพราะ

    ความเชื่อทางศาสนามีพลังเหนือเหตุผล แม้สงสัยแค่ไหนก็ไม่กล้าแม้จะหาคำตอบที่ถูกใจได้ รังแต่จะสร้างความมร้าวฉานในหมู่มิตร

    หลายข้อที่คุณถามในวันนี้ คุณกำลังก้าวล่วงในศรัทธาของคนพุทธ พยายามสร้างความฉุกคิดทางเหตุผลโดยแฝงมากับข้อสงสัย มีเจตนาหมิ่นหาญน้ำใจในความเชื่อ โดยการเอาหลักวิชาการมาแย้งหาเพื่อบ่งแยกให้เห็นถึงความงมงาย

    ทั้งที่ทุกศาสนาไม่อาจหาหลักวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงได้ดั่งข้อสงสัยของผมที่มีต่อพระเจ้า ผมสงสัยมา20กว่าปีแล้ว แต่ผมไม่หาคำตอบเรื่องนี้ ไม่เคยไปเยาะเย้ยเหรือจี้ถามให้ตอบเรื่องชาติกำเหนิดพระเยซู เพราะมันเป็นเรื่องของศรัทธา

    แม้ในศาสนาพุทธ ผมก็สงสัย แต่ผมถามได้ เพราะผมไม่ได้ก้าวล่วงศรัทธาของใคร ผมเพียงละเมิดศรัทธาของตนเอง

    แม้ศาสนาพุทธของผมจะงมงายในสายตาคุณ แต่ศาสนาพุทธของผม ได้สร้างบรรพชนของผมมาหลายร้อยปี สร้างบ้านแปลงเมืองมาหลายร้อยปี จนวันนี้แข็งแกร่งในระดับต้นๆของโลก

    เรามีพระ3แสนกว่ารูป ถ้านับพระเป็นคนว่างงาน3แสนคน ประเทศไหนๆก็ล่มจมแน่ แต่ไทยไม่ล่มจมกับพระ3แสนรูปที่เป็นคนว่างงาน เพราะเราสร้างชาติได้นั้น ศรัทธาคือรากฐานประกอบหลัก เราไม่ได้สร้างชาติด้วยปริมาณคนทำงาน

    คุณขอให้ทำกันอย่างสุภาพและให้เกียรติแก่ความเชื่อและความแตกต่างของเราแต่ละคน ขอให้คุณเริ่มก่อนนะตอนนี้เลย อย่ามาเล่นสำนวนแอบถามเพื่อส่งให้เห็นว่าพุทธเป็นเรื่องงมงาย

    เพราะถ้าในความคิดของคุณ อะไรที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางหลักวิชาการ คือความงมงายที่ต้องถามกับคนพุทธ หมายต้อนให้จนมุม แล้วตนเองจะได้มีที่ยืนที่สูงส่งกว่า

    แค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะข้อสงสัยของคนพุทธที่มีต่อคริสต์ก็มากมาย และผมมั่นใจว่าคุณตอบไม่ได้

    แต่จิตใจผมเหนือกว่าคุณ เพราะผมไม่เคยคิดต้อนเอาคำตอบเพื่อให้ใครจนมุม เพราะผมไม่เคยคิดที่จะยืนเหนือใครจากเรื่องของศรัทธา

    ผมเคารพในศรัทธาของทุกคน ผมเคารพในเตารอท เคารพต่อโมเสท เยซู มูฮัมหมัด ผมเคารพต่อพระคำภีร์เก่าและใหม่

    ผมเป็นแบบนี้จริงๆ

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    สวัสดีค่ะ

    พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ซึ่งเป็นได้ 2 กรณีคือ เมื่อสิ่งนี้มี จึงเป็นเหตุให้อีกสิ่งมีตามมา หรือ หลายๆสิ่ง ประกอบเข้าด้วยกัน เกิดเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และ สังสารวัฏฏ์ต้นปลายรู้ไม่ได้ค่ะ เราไม่ควรเสียเวลาไปใฝ่หาเรื่องเหล่านี้ แต่ควรใช้เวลาไปกับการปฏิบัติเพื่อให้อยู่กับปัจจุบันอย่างสงบ และพ้นไปในที่สุด

    เรื่องที่ไม่ควรคิดเหล่านี้ ตรัสเรียกว่า อจินไตย

    ส่วนการที่สัตว์ใดจะเกิดเป็นอะไร ก็แล้วแต่การกระทำของสัตว์นั้นๆเองค่ะ (กรรม)

    ไอสไตน์กล่าวว่า ศาสนาก็ทำหน้าที่ของศาสนาคือทำให้ชีวิตดีขึ้น มีคุณค่าขึ้น วิทยาศาสตร์ก็ทำหน้าที่ของวิทยาศาสตร์ คือค้นหาความจริง การเอาศาสนามาปนกับวิทยาศาสตร์มีแต่จะทำให้สับสน และเสียหน้าที่ของศาสนา

    อย่างเช่นศาสนาที่เป็นเทวนิยม ที่ว่ามีผู้สร้างโลก ก็เป็น "ความเชื่อ" เช่นเดียวกันกับความเชื่อในศาสนาพุทธที่ว่าทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ก็คงยากจะหาหลักฐานมาพิสูจน์มังคะ

    ..................................................

    อนุโมทนากับทุกท่านที่การตั้งและตอบคำถามอย่างสุภาพนะคะ

    การแสดงความเห็นเป็นสิทธิของมนุษย์ อย่างไรก็ดี ความเห้นที่ต่างกัน ก็อาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาทได้

    มีพุทธพจน์เกี่ยวกับความเห็นที่ต่างกันดังนี้ของมนุษย์ การปฏิบัตต่อความเห็นต่าง และ ผล ดังนี้ค่ะ

    [๘๐๓] สัตว์เกิดผู้ถือทิฏฐิในทิฏฐิทั้งหลายว่า ยอดเยี่ยม

    ย่อมทำทิฏฐิใดให้ยิ่งใหญ่ในโลก

    กล่าวทิฏฐิอื่นทุกอย่างนอกจากทิฏฐินั้นว่า เลว

    เพราะฉะนั้น สัตว์เกิดนั้นจึงไม่ล่วงพ้นการวิวาทไปได้

    (บางส่วนจาก ปรมัฏฐกสูตร) พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย

    “””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

    [๙๑๑] อนึ่ง สมณพราหมณ์บางพวก

    กล่าวธรรมของตนว่า บริบูรณ์ แต่กล่าวธรรมของผู้อื่นว่า เลว

    พวกสมณพราหมณ์ถือมั่นแม้อย่างนี้แล้ว ย่อมวิวาทกัน

    เพราะต่างกล่าวทิฏฐิสมมติของตนๆว่า จริง

    [๙๑๒] หากบุคคลเป็นคนเลวเพราะเหตุที่ผู้อื่นพูดติเตียนไซร้

    ก็จะไม่พึงมีใครวิเศษในธรรมทั้งหลายได้เลย

    เพราะคนส่วนมาก ต่างกล��าวยืนยันในแนวทางของตน

    พากันกล่าวถึงธรรมของผู้อื่นว่า เป็นสิ่งเลวทราม

    [๙๑๓] การบูชาหลักการของตน เป็นเรื่องแท้จริง

    เหมือนสมณพราหมณ์พากันสรรเสริญแนวทางของตน ฉะนั้น

    การว่าร้ายทุกอย่างก็พึงมีอยู่แท้จริง

    เพราะความหมดจดของสมณพราหมณ์เหล่านั้น

    เป็นเรื่องเฉพาะตนเท่านั้น

    (บางส่วนจากมหาวิยูหสูตร พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย)

    “”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

    จะเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นกลางอย่างมากในการเผยแพร่ศาสนา คือเพียงเสนอว่าศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้ (ตอนนั้นเรียกว่า"ธรรมวินัยนี้"ค่ะ) ผู้ฟัง ฟังแล้วตัดสินใจเอาเอง

    สำหรับผู้เป็นพุทธศาสนิกชน ควรเผยแพร่ในลักษณะเดียวกันกับที่พระพุทธองค์เคยปฏิบัติ เพื่อไม่สร้างความขัดแย้งค่ะ

    อนุโมทนาอีกครั้งนะคะ

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    ครึ ครึ ครึ บางที การพูดความจริงให้น่าเชื่อ

    อาจยากกว่าพูดให้คนเชื่อเรื่องโกหกเสียอีก

    โดยเฉพาะถ้าความจริงนั้น

    ดันไม่ตรงกับความเชื่อของคนฟัง

    ครึ ครึ ครึ ประเด็นคืออะไร อะไรคือกรรม กลไกของกรรมซับซ้อนยิ่งนัก เหตุผลและหลักฐานมีอยู่จริง(ไม่ใช่อ้างในพระไตรปิฏก) มันอยู่ที่..รู้..จริงแค่ไหน อยากรู้ต้องปฏิบัติแลค้นหาด้วยตัวเอง ผู้อื่นหาไขข้อข้องใจได้ไม่

    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้

    "กมฺมุนา วตฺตติ โลโก" ขยายว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หรือการกระทำ

    หมายความว่า เราจะทำกรรมอะไรไว้ก็ตาม ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ย่อมได้รับแห่งการกระทำนั้นเสมอ สุดแต่ว่าจะช้าหรือว่าเร็วเท่านั้น ใครทำดีก็ย่อมได้รับสิ่งดีๆตอบแทน ใครทำชั่วก็ย่อมได้สิ่งที่เลวร้ายตอบแทนเช่นกัน

    กรุณาอย่าตะแบงคำแปลที่แปลไว้ดีแล้วเลย

    กรรม ไม่ใช่อำนาจภายนอก

    แต่ เป็นอำนาจที่ติดแน่นอยู่ในใจ ชนิดที่ใจไปไหนฉันไปด้วย(ฮา)

    เหมือนกับความร้อนที่ติดอยู่กับไฟ และความเย็นมีในก้อนน้ำแข็ง(แต่ก็แฝงด้วยความร้อน ใช่ม่ะ)

    กรรมก็ติดอยู่กับใจเช่นนั้น(เอง)

    กรรมชั่วทำให้ใจร้อน กรรมดีทำให้เย็นสบาย

    รูปร่างกายที่เราได้มานี้ ได้มาด้วยอำนาจแห่งกรรมสร้างขึ้น

    ทำไม กรรมถึงสร้างร่างกายขึ้นมา

    ทำไมกรรมไม่เล่นงานดวงจิตซึ่งเป็นตัวการสร้างกรรมโดยตรง(มีเจตนาที่ดวงจิต)

    คำตอบก็คือ เพื่อใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือเล่นงานจิต

    เพราะโดยธรรมชาติของจิต เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้

    การที่จะมาลงโทษจิตด้วยการจับมัดแล้วโยนลงในกระทะทองแดง หรือจะฆ่า จะทรมานให้สาสมกับกรรมที่สร้างไว้ไม่ได้

    กรรมจึงต้องสร้าง"รูป"ขึ้นมา คือ ร่างกายนี้ขึ้นมาให้จิตเข้าไปอาศัย

    และหลอกให้หลง ให้ยึด(ยึดมันถือมั่น)เป็นอัตตาขึ้นมาว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นกูเป็นของกู(สำนวนท่านพุทธทาส)

    จากนั้นก็ใช้ร่างกายที่จิตหลงรักนี้เล่นงานเรา

    เช่น สร้างร่างกายที่เป็นมนุษย์(หรืออื่นๆ เช่น ไส้เดือนตามท่านว่า) ให้จิตเข้าไปอาศัย

    แล้วก็แกล้งทำให้ร่างกายนี้ แก่ เจ็บ ตาย ถูกข่มขืน ถูกดูหมิ่น ถูกทำร้าย ถูกทำให้พบกับความผิดหวัง เป็นต้น

    กายเจ็บ(ฮา) แต่ ผู้ที่เป็นทุกข์ คือ ใจ(อิ อิ)

    ใจจึงเป็นทั้งผู้สร้างกรรม และเป็นผู้รับกรรมเองโดยตรง

    กายเป็นแต่เพียงเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่กรรม"สร้าง"ขึ้นมา เพื่อใช้เล่นงาน ใจ เท่านั้น ครึ ครึ ครึ

    ตามหลักความเชื่อนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน"กาลามสูตร"แล้ว

    ต่อไป ก็อย่างว่า"ต้องใช้วิจารณญาณ"กันอีกที ฮี่ ฮี่ ฮี่

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    สวัสดีค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคำถาม วัน���ี้คำถามของท่านทำให้ฉันได้รับวิทยาธรรมมากมายเพราะตั้งหน้าตั้งตาหาข้อมูล และได้อ่านข้อคิดความรู้จากคำตอบในแต่ละคำถาม ^-^....

    จากคำถามที่ว่ากลไกที่เป็นตัวกำหนดว่าใครจะไปเกิดเป็นอะไรนั้น ตอบว่ากรรมเป็นตัวกำหนด กรรมคือการกระทำ ตามสำนวนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำสิ่งใดจะได้รับผลของการกระทำนั้น เช่น...

    การได้เกิดเป็นสัตว์ที่มีแต่สัญชาตญาณเท่านั้นที่ผลักดันให้ดำเนินชีวิตไป ไม่อาจแยะแยะได้ ไม่อาจหยุดคิด หยุดไตร่ตรอง ผิดถูกดีชั่วได้ จึงเพียงดำเนินชีวิตไปตามกลไกของขันธ์ห้า ตามสัญชาตญาณตามแบบฟอร์มนั้นๆ โอกาสที่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จะเลือกทางเดินเองนั้น แทบจะไม่มีเลย เช่น เกิดมาเป็นหนอน เป็นไส้เดือน เป็นกิ้งกือ เป็นสัตว์น่าขยะแขยง ใครเห็นก็ไม่อยากเข้าใกล้ เป็นเพราะเมื่อครั้งเป้นมนุษย์ใช้ความสวย ความหล่อ หลอกล่อบุคคลอื่น ไปสร้างกรรม วิบากกรรม หลอกลวง หรือสร้างกรรมใดๆ ใช้กรรมแล้ว เหลือเศษกรรมก็ต้องมาเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างน่าเกลียด น่าขยะแขยง ใครเห็นแล้วก็ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะน่าขยะแขยง

    หรือหากมีจิตใจตระหนี่ขี้งกจะส่งผลให้เกิดมาในตระกูลยากจน หากมีนิสัยใจหยาบดุร้ายจะได้เกิดเป็นสัตว์ที่ต้องต่อสู้ขบกัดกันเอง เป็นต้น

    กรรม ๑๖ ประเภท --> http://thai.mindcyber.com/buddha/why1/1131.php

    .....

    รับทราบค่ะ ท่อลำเลียงหลักการอยู่ไหน ออกมาด่วน

  • on-ces
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    เท่าที่จับใจความมาได้จากพุทธพจน์ และนักปราชญ์ทางพุทธชั้นหลังๆ

    เขียนเอาไว้นั้น พอจะอธิบายได้ดังนี้

    กลไกที่ทำให้สัตว์มาเกิดเป็นอะไรนั้น แบ่งเอาจากกิเลสในใจสัตว์มาวัดค่ะ

    โมหะหนา ก็ไปเกิดเป็นสัตว์ แต่ไม่ใ��่ว่ากิเลสจะมีกันแต่โมหะ บางคนโมหะเยอะ

    มีโทสะมากด้วยก็เป็นประเภทสัตว์ดุร้าย หากใจผูกพันธ์กับมนุษย์ก็มาเกิดใกล้มนุษย์

    บางสัตว์นั้นเคยทำกรรมดีไว้มาก แต่ตอนใกล้ตายมีโมหะหนา

    ก็อาจเกิดมาอยู่กับเจ้าของที่เลี้ยงดูเป็นอย่างดี เช่น หมาแมวของพวกไฮโซ เป็นต้น

    สำหรับใครสั่งสมโทสะไว้มาก ตอนใกล้ตายจิตก็เป็นโทสะอีก ผลคือเป็นสัตว์นรก

    บวกเข้ากับกรรมชั่วที่เคยทำกับใครไว้ จิตก็ลงโทษตัวเองอยู่ในนรกนั้น

    ส่วนโลภะนั้นเป็นทางไปของเปรตค่ะ เล่าไว้ย่อๆว่าเปรตมีหลายประเภทเช่นเดียวกัน

    ไม่เฉพาะว่าปากเท่ารูเข็ม

    ส่วนพวกไหนมีสำนึกดีชั่ว ไม่หนักข้างบุญหรือบาปมากนัก ก็มาเกิดเป็นมนุษย์

    จะเป็นมนุษย์ลำบากหรือสบายก็ขึ้นอยู่กับเวรกรรมที่เคยสร้างสมกันมาค่ะ

    หากมีละอายและสำนึกต่อบาปเวร ชอบทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา

    หรือแค่จิตตอนตายนึกถึงความดีของตนที่ได้ทำไว้ จิตก็ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า

    หากเป็นผู้เจริญฌาณมีสมาธิตั้งมั่นก็เกิดเป็นพรหมกันไปค่ะ

    นี่เป็นการตอบค่อนข้างจะตามคัมภีร์ที่มีคำบัญญัติว่าสัตว์อย่างนี้เรียกว่าอะไร

    แต่หากอธิบายโดยความเป็นธาตุ คือ การที่จิตทำกรรมหนึ่งๆ จิตจะสั่งสมพลังงานเอาไว้

    กรรมดำก็จะดูดจิตที่ทำกรรมดำนั้นไปสู่ทางลำบาก อาจเป็นโลกมนุษย์ที่แสนลำเข็ญ

    หรือเป็นนรกที่เผ็ดร้อนก็ได้ ให้สมกับจิตที่ทำกรรมอย่างนั้นไว้

    ลองสังเกตดูนะคะว่ากลุ่มคนที่อาศัยกันเป็นชุมชนนั้น มักมีนิสัยไม่ต่างกันมากนัก

    เช่น ชาวญี่ปุ่นนั้นเขาจะมีระเบียบวินัยและซื่อสัตย์

    เราจะว่าเขาบังเอิญเกิดมาเจอพ่อแม่สอนให้มีวินัยและซื่อสัตย์ก็ได้

    หรือจะบอกว่ากรรมดึงดูดให้คนที่มีวินัยเหมือนกันมาเกิดด้วยกัน

    เขาย่อมอยู่ในชุมชนที่ไว้วางใจกันด้วยความซื่อสัตย์และมีวินัยนั้น,

    อีกตัวอย่างหนึ่ง เด็กบางคนในอดีตเคยเป็นคนดุร้าย

    สอนลูกหรือบริวารด้วยความเข้มงวด เกิดใหม่ก็เจอพ่อแม่เข้มงวดบ้าง

    นิสัยของเด็กคนนั้นอาจไม่เหลือเค้าความดุดันเลยก็ได้

    เพราะกรรมปรุงจิตให้มีแต่ความอ่อนแอเป็นนิจค่ะ

    สำหรับข้อพิสูจน์นั้น ปัจจุบันก็มีเรื่องการสะกดจิตให้จำอดีตชาติบ้าง

    การระลึกชาติได้ของเด็กที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐาน

    ส่วนที่จะพิสูจน์ถึงขั้นว่ากรรมใดส่งมาให้เกิดเป็นอย่างนี้

    คุณต้องฝึกเอาเอง เพราะเป็นของรู้ได้เฉพาะตนค่ะ

    เราคงไม่อาจทำให้คุณหมดข้อสงสัยได้

    แต่หนังสือที่ถือว่าอ่านแล้วครบถ้วนสำหรับชาวพุทธ

    ตอบคำถามเหล่านี้ได้ดี คือหนังสือของคุณดังตฤณค่ะ

    อย่างไรลองเข้าไปดาวน์โหลดมาอ่านได้จากเว็บนะคะ

    www.dungtrin.com

    แนะนำ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" และ "มีชีวิตที่คิดไม่ถึง"

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    ที่กำหนดหรือค้นว่า อะไรเป็นกลไก คำตอบจะไปคล้ายว่า เราเชื่อว่า มีผี ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นผี เหมือนกับเราเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก ทั้งที่เราก็ไม่เคยพบปะกับพระเจ้า หรือแม้แต่คนพุทธส่วนมากก็ยังกล่าวได้ว่า งมงายกับเรื่องบางเรื่องที่มันไม่ไช่ศาสนา บางกลุ่มปนเปนับถือเทวดาไปเลยก็มี ไปชื่นชอบกับพิธีกรรม อย่างการปลุกเศกเครื่องราง หรือเข้าผีทรงเจ้า ตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ จนรกบ้านไปหมด ถ้าเราเข้าไปพูดในเชิงขัดขวาง เขาอาจจะว่าเราก็ได้ว่าเป็นคนไม่มีศาสนา ในเมื่อเขาถูกจริตกับสิ่งแบบนั้นถ้าไม่มีพิษมีภัยอะไรมากนักเขาเชื่อแล้วทำแล้วสบายใจก็ตามใจเขา ถ้าจะวิเคราะห์ออกมาเหมือนวิทยาศาสตร์ คงไม่มี แต่เรียกรวม กลไกนั้น ว่า กรรม ถ้ามองเผินๆมันก็ยุติธรรมแล้วเรารังแกเขาเขาก็ตามรังแกเรา เหมือนอย่าง วันนี้ 11 คนที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการถล่มตึก ก็ได้ถูกขจัดไปแล้วเรียกว่าตกตายไปตามกัน ศาสนาพุทธก็เรียกว่า ทำกรรม อะไรเอาไว้ก็ได้รับกรรมนั้น มันง่ายดี คำว่าเวรกรรมจะตามทัน แค่เพียงคำเดียว ก็สามารถที่จะควบคุมพฤติกรรมทางสังคมได้ ความไม่เบียดเบียนมันเกิดขึ้น จิตใจผู้คนอ่อนโยน ความอ่อนโยนมันเป็นบาทวิถีเข้าไปสู่ศิล ศิลมันจะนำพาเข้าไปสู่การปฏิบัติที่สูงกว่า ยกระดับจิตใจ ร่าเริง มีความสุขกับการไม่เบียดเบียน ผ่อนคลาย การผ่อนคลาย มันเป็นตัวเชื่อม ระหว่างกายกับจิต สิ่งที่ตารมมา คือความสงบวิเวก ความวิเวก มันเข้าสู่สมาธิ มันถึงจะยกเข้าสู่ พิจารณาวิปัสนา (ไม่ใช่วิปัสนึกนะครับ) ก็ต้องยอมรับนะ ผมเองบวชเฌรภาคฤดูร้อนเสมอตอนยังเด็กๆ แล้วก็มาสิ้นสุดอยู่ตรงแค่สมาธิบ้างไม่มีบ้าง เพราะเราไม่มีครูที่รู้จริง เป็นท่อนำส่ง หรือมาบอกมาสอนได้ เราจึงไม่มีโอกาสรู้การจุติการปฏิสนธิของสัตว์ก่อนนั้นหลังนั้นว่าจะไปหรือเคยเกิดเป็นอะไร แต่ยังสงสัยตราบใดที สสารบนโลกนี้ประกอบไปด้วยอนุภาคเล็กๆ ของโปรตอนนิวตรอนอีเลคตรอน หรืออย่างเส้นเทปบันทึกเสียงที่เรียงตัวสนามแม่เหล็กเอาไว้อย่างมีระเบียบ ยังต้องใชัหัวอ่าน เหมือนเครื่องเล่นซีดี ที่ใช้หัวเลเซอร์อ่านสัญญาณเสียงสัญญาณภาพออกมา สู่จอ สู่ลำโพง ก้อนหินก้อนดินบนโลกนี้คง(อาจจะ)บันทึกเหตุการณ์ต่างๆในอดิตเอาไว้มากมาย อยู่ที่ว่าเราจะคิดค้นเครื่องมือที่จะเอามาอ่านมัน

    มันจึงไม่มี ไวพจน์ อันเป็นคำคุณศัพย์ แสดงภาวะและคุณสมบัติ หรือศักดิ์ที่จะแสดงอำนาจของภาวะจิต คงเพราะไม่มีผู้ที่ปฏิบัติได้จริงมาเป็นท่อ ลำเลียงหรือแสดงทางเดินให้ก้าวต่อไป มีแต่รู้ว่าอยู่ใน อภิธรรมคำสอน มีบาทเป็นทางอยู่ ใน ปติจสมุธบาท <----คัมถีร์เล่มนี้ก็ยังถกเถียงกันว่า ท่านพุทธโฆษาจาร์ย รสนาขึ้นเองหรือ มาจากพระโอษฐ์ กันแน่ ก็พอปลอบใจตนเองได้ว่า แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ทำบาป ไม่เบียดเบียน ไม่ผิดประเวณี ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา เลี้ยงชีพชอบ ไม่ละโมบในทรัพย์สินคนอื่น เท่านี้ก็เป็นสมบัติของมนุษย์ พอแล้ว ที่เหลือก็ไม่ตั้งอยู่ในความประมาททั้งปวง เผื่อว่าชาติหน้ามันจะมีจริง หรือถ้าไม่มี ก็แล้วไปอย่างน้อยตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้เบียดเบียน เพื่อนร่วมโลก ซื่งในศาสนาพุทธเรียกว่า เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คงไม่ต่างกับศาสนาอื่น ถ้าเขาตบแก้มซ้าย ก็จงเอียงแก้มขวาให้เขาอีก หรือถ้าเขาเอาเสื้อเราไป ก็จงถอดกางเกงให้เขาไปด้วย

  • ?
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    ผมเชื่ออยู่อย่างนะครับพี่ ผมเชื่อในเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้

    ผมให้เป็นศาสดาในใจผมเลย มีหลายคนครับที่ค้นพบและคนทั้งโลกใช้เป็นหลักที่นำมาต่อยอด

    ส่วนศาสนา ผมก็เชื่อในพระพระธรรมคำสอนนะครับพี่ "กรรม"ตัวมันเองแล้วแปลได้ว่า"การกระทำ"

    มองให้เป็นวิทยาศาสตร์ โดยพระธรรมคำสอนพระพุทธองค์ท่านก็เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่พิสูจน์ได้ครับพี่

    เรื่องกรรมสร้างโลกผมว่านะ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ครับ

    คำบอกเล่า ตำนาน พิธีกรรม ตำรา เหมือนหนังใหญ่ ใช้กรรมที่เป็นของชนรุ่นก่อนนี้เป็นผู้สร้าง

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้