Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมีอะไรบ้าง?

สัมมาทิฏฐินั้น เป็นหนึ่งในองค์มรรคทั้ง 8 จัดเป็นองค์มรรคที่สำคัญมาก เพราะหากไม่มีองค์มรรคนี้ องค์มรรคอื่นๆก็อาจไม่มีตามมา

สัมมาทิฏฐิเป็นปัญญาในระดับกลาง (ปัญญาในระดับต้นแฝงอยู่ในศรัทธา อันเป็นศรัทธาที่ไม่ใช่ศรัทธาแบบสีลัพพตปรามาส) เมื่อพัฒนาขึ้น จะกลายเป็นญาณ เป็นวิชชา (อันตรงข้ามกับอวิชชา) และ วิมุตติต่อไป

เมื่อองค์มรรคกลมเกลี่ยวกัน (โดยปกติ องค์สัมมาสมาธิมักมาเป็นองค์สุดท้าย) ก็จะหมุนวน แก่รอบขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้สัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกิยะ พัฒนาเป็นสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตตระ พัฒนาญาณ จากญาณที่เป็นโลกิยะ เป็นญาณที่เป็นโลกุตตระ มรรคมีองค์ 8 จึงเป็นเครื่องมือพัฒนามนุษย์จากปุถุชน ไปสู่กัลยาณปุถุชน จนสู่พระอริยะระดับต่างๆ

ขอถามว่า ก่อนที่จะเกิดสัมมาทิฏฐิได้ มีเหตุปัจจัยอะไร เกื้อหนุนให้เกิดสัมมาทิฏฐิในมนุษย์ค่ะ

อัปเดต:

เรียนคุณ นิ่งหลับคะ......

การรักษาศีล หากเป็นการรักษาแบบสีลัพพตปรามาส คือ รักษาตามๆกันไป เคร่งในศีลและวัตร โดยไม่รู้วัตถุประสงค์ของศีล หรือเพื่อหวังลาภยศ (เช่น เชื่อว่ารักษาศีลแล้วรวย) ก็จัดว่าไม่นำไปสู่ปัญญา และอาจนำไปสู่ความงมงายได้

แต่หากการรักษาศีลนั้น เพื่อเป็นบาทฐานของสมาธิ และเพื่อให้สมาธิเป็นบาทฐานของปัญญาอีกต่อหนึ่ง หรือเพื่อปิดกั้นกิเลสใหม่ไม่ให้เกิด เช่น (อินทริยสังวรศีล) จึงจะจัดว่าศีลที่รักษาประกอบด้วยปัญญา นำไปสู่ปัญญาค่ะ

อัปเดต 2:

.......................................

เรียนคุณ นิ่งหลับคะ......

การรักษาศีล หากเป็นการรักษาแบบสีลัพพตปรามาส คือ รักษาตามๆกันไป เคร่งในศีลและวัตร โดยไม่รู้วัตถุประสงค์ของศีล หรือเพื่อหวังลาภยศ (เช่น เชื่อว่ารักษาศีลแล้วรวย) ก็จัดว่าไม่นำไปสู่ปัญญา และอาจนำไปสู่ความงมงายได้

แต่หากการ���ักษาศีลนั้น เพื่อเป็นบาทฐานของสมาธิ และเพื่อให้สมาธิเป็นบาทฐานของปัญญาอีกต่อหนึ่ง หรือเพื่อปิดกั้นกิเลสใหม่ไม่ให้เกิด เช่น (อินทริยสังวรศีล) จึงจะจัดว่าศีลที่รักษาประกอบด้วยปัญญา นำไปสู่ปัญญาค่ะ

ขอบคุณมากค่ะที่มาร่วมแสดงความเห็นกัน

อัปเดต 3:

.............................

เรียน คุณ Somkuan

ขอบคุณสำหรับลิ้งค์ที่แนบนะคะ เป็นลิ้งค์ที่มีประดยชน์มากค่ะ

อัปเดต 4:

.......................

เรียน คุณ On-Ces คะ

ตัวอย่างสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกิยะคือ เชื่อว่าทานที่ให้แล้วมีผล อย่างที่คุณบอกค่ะ เพราะเมื่อเรารู้ว่าทานมีผล หากเราทำทานเพื่อหวังผลบุญ ก็ย่อมได้บุญนั้นแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้มี "ตัวตน" วนรับผลของบุญนั้นด้วย จึงไม่อาจพ้นไปจากวัฏฏสงสารได้

ส่วนสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตตระที่เกี่ยวกับการทำบุญ คือ ทำบุญเพื่อฝึกการละ ให้คลายตระหนี่ เป็นเครื่องประดับจิต (คือให้จิตเกิดสมาธิได้ง่าย) หวังเพียงประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่ได้หวังให้มีผลตอบแทนแก่ตน เมื่อไม่ได้หวังผลตอบแทนต่อตน จึงไม่มีตัวตนวนเกิดไปรับผลแห่งบุญนั้น

มีพุทธพจน์เกี่ยวกับสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตตระอย่างกว้างๆว่า

"ภิกษุ ท. สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะ ไม่มี%

อัปเดต 5:

ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค นั้น เป็นอย่างไร คือ สัมมาทิฏฐิที่ได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโชฌงค์ และสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แห่งมรรค ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค ภิกษุ ท. นี้ คือสัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค"

อุปริ.ม. ๑๔/๑๘๑/๒๕๖-๒๕๗

อัปเดต 6:

ขอบคุณสำหรับคำตอบของคุณ Sincere เช่นกันนะคะ

อัปเดต 7:

ขอบคุณคุณ ? และ คุณกุหลาบแดงด้วยนะคะที่ร่วมมาแสดงความเห็นกัน

............................................

ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐินั้น มี 2 คือ ปรโตโฆสะ และ โยนิโสมนสิการ ตามที่พระสารีบุตรตอบพระมหาโกฏฐิกะในมหาเวทัลลสูตร

ส่วนสัมมาทิฏฐิอันเป็นโลกิยะ มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ นั้น มีองค์ธรรมที่สนับสนุนตามที่ปรากฏ ใน ม.มู (แปล) ๑๒/๔๕๒/๔๙๑-๔๙๒ คือ

ศีล (ในที่นี้หมายถึง ปาริสุทธิศีล อันเป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุอริยมรรค)

สุตะ (ในที่นี้หมายถึงการฟังธรรมที่เป็นสัปปายะ มีความหมายเท่ากับปรโตโฆษะ

สากัจฉา

สมถะ และ

วิปัส%E

อัปเดต 8:

ขอบคุณคุณ ? และ คุณกุหลาบแดงด้วยนะคะที่ร่วมมาแสดงความเห็นกัน

............................................

ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐินั้น มี 2 คือ ปรโตโฆสะ และ โยนิโสมนสิการ ตามที่พระสารีบุตรตอบพระมหาโกฏฐิกะในมหาเวทัลลสูตร

ส่วนสัมมาทิฏฐิอันเป็นโลกิยะ มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ นั้น มีองค์ธรรมที่สนับสนุนตามที่ปรากฏ ใน ม.มู (แปล) ๑๒/๔๕๒/๔๙๑-๔๙๒ คือ

ศีล (ในที่นี้หมายถึง ปาริสุทธิศีล อันเป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุอริยมรรค)

สุตะ (ในที่นี้หมายถึงการฟังธรรมที่เป็นสัปปายะ มีความหมายเท่ากับปรโตโฆษะ

สากัจฉา

สมถะ และ

วิปัสสนา

7 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 10 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    ขอยกข้อความจากพุทธธรรม (ฉบับเดิม) ของพระพรหมคุณาภรณ์ มาตอบค่ะ

    สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์ประกอบสำคัญของมรรค ในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิบัติธรรม หรือพูดตามแนวไตรสิกขาว่า เป็นขั้นเริ่มแรกในระบบการศึกษาแบบพุทธ และเป็นธรรมที่ต้องพัฒนาให้บริสุทธิ์ แจ้งชัด เป็นอิสระมากขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นการตรัสรู้ในที่สุด ดังกล่าวมาแล้ว ดังนั้น การสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

    มีพุทธพจน์แสดงหลักการสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิไว้ดังนี้

    ภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิมี ๒ อย่าง ดังนี้ คือ ปรโตโฆสะ และ โยนิโสมนสิการ

    ๑. ปรโตโฆสะ "เสียงจากผู้อื่น" คำบอกเล่า ข่าวสาร คำชี้แจง อธิบาย การแนะนำชักจูง การสั่งสอน การถ่ายทอด การได้เรียนรู้จากผู้อื่น

    ๒. โยนิโสมนสิการ "การทำในใจโดยแยบคาย" การพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า การใช้ความคิดสืบสาวตลอดสาย การคิดอย่างมีระเบียบ การรู้จักคิดพิจารณาด้วยอุบาย การคิดแยกแยะออกดูตามสภาวะของสิ่งนั้น ๆ โดยไม่เอาความรู้สึกด้วยตัณหาอุปาทานของตนเข้าจับ

    ปัจจัยสองอย่างนี้ ย่อมสนับสนุนซึ่งกันและกัน

    สำหรับคนสามัญ ซึ่งมีปัญญาไม่แก่กล้า ย่อมอาศัยการแนะนำชักจูงจากผู้อื่น และคล้อยไปตามคำแนะนำชักจูงที่ฉลาดได้ง่าย แต่ก็จะต้องฝึกหัดให้สามารถใช้ความคิดอย่า��ถูกวิธีด้วยตนเองได้ด้วย จึงจะก้าวหน้าไปถึงที่สุดได้

    ส่วนคนที่มีปัญญาแก่กล้า ย่อมรู้จักใช้โยนิโสมนสิการได้ดีกว่า แต่กระนั้น ก็อาจต้องอาศัยคำแนะนำที่ถูกต้องเป็นเครื่องนำทางในเบื้องต้น และเป็นเครื่องช่วยส่งเสริมให้ก้าวหน้าไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในระหว่างการฝึกอบรม

    การสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิ ด้วยปัจจัยอย่างที่ ๑ (ปรโตโฆสะ) ก็คือวิธีการที่เริ่มต้นด้วยศรัทธา และอาศัยศรัทธาเป็นสำคัญ เมื่อนำมาใช้ปฏิบัติในระบบการศึกษาอบรม จึงต้องพิจารณาที่จะให้ได้รับการแนะนำชักจูงสั่งสอนอบรมที่ได้ผลดีที่สุด คือ ต้องมีผู้สั่งสอนอบรมที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ มีความสามารถ และใช้วิธีการอบรมสั่งสอนที่ได้ผล

    ดังนั้น ในระบบการศึกษาอบรม จึงจำกัดให้ได้ปรโตโฆสะที่มุ่งหมายด้วยหลักที่เรียกว่า กัลยาณมิตตตา คือความมีกัลยาณมิตร

    ส่วนปัจจัยที่ ๒ (โยนิโสมนสิการ) เป็นแกนหรือองค์ประกอบหลักของการพัฒนาปัญญา ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าควรช้ความคิดให้ถูกต้องอย่างไร

    เมื่อนำปัจจัยทั้งสองมาประกอบกัน นับว่า

    กัลยาณมิตตตา (ปรโฆโตสะที่ดี) เป็นองค์ประกอบภายนอก และ

    โยนิโสมนสิการ เป็นองค์ประกอบภายใน

    ...

    ๑.ความมีกัลยาณมิตร

    กัลยาณมิตร มิได้หมายถึงเพียงแค่เพื่อนที่ดีอย่างในความหมายสามัญ แต่หมายถึง บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่จะสั่งสอน แนะนำ ชี้แจง ชักจูง ช่วยเหลือ บอกช่องทาง ให้ดำเนินไปในมรรคาแห่งการฝึก ศึกษาอย่างถูกต้อง ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ยกตัวอย่างไว้ เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ครู อาจารย์ และท่านผู้เป็นพหูสูตทรงปัญญา สามารถสั่งสอนแนะนำเป็นที่ปรึกษาได้ แม้จะอ่อนวัยกว่า (วิสุทฺธิ. ๑/๑๒๓ ถึง ๑๒๕)

    ในกระบวนการพัฒนาปัญญา ความมีกัลยาณมิตรนี้ จัดว่าเป็นระดับความเจริญปัญญาในขนั้นศรัทธา

    ...

    ๒.โยนิโสมนสิการ

    ...

    เมื่อเทียบในกระบวนการพัฒนาปัญญา โยนิโสมนสิการ อยู่ในระดับที่เหนือศรัทธา เพราะเป็นขั้นที่เิร่ิมใช้ความคิดของตนเเองเป็นอิสระ

    ส่วนในการศึกษาอบรม โยนิโสมนสิการเป็นการฝึกการใช้ความคิดให้รู้จักคิดอย่างถูกวิธี คิดอย่างมีระเบียบ รู้จักคิดวิเคราะห์ ไม่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างตื้น ๆ ผิวเผิน เป็นขึ้นสำคัญในการสร้างปัญญาที่บริสุทธิ์เป็นอิสระ ทำให้ทุกคนช่วยตนเองได้ และนำไปสู่จุดหมายของพุทธธรรมอย่างแท้จริง

    ...

    กล่าวโดยสรุป สำหรับคนทั่วไป ผู้มีปัญญายังไม่แก่กล้า ยังต้องอาศัยการแนะนำชักจูงจากผู้อื่น การพัฒนาปัญญา นับว่าเริ่มต้นจาก องค์ประกอบภายนอก คือความมีกัลยาณมิตร สำหรับให้เกิดศรัทธา (ความมั่นใจด้วยเหตุผลที่ได้พิจารณาเห็นจริงแล้ว) ก่อน

    จากนั้น จึงก้าวมาถึงขัั้น องค์ประกอบภายใน เริ่มแต่นำความเข้าใจตามแนวศรัทธาไปเป็นพื้นฐาน ในการใช้ความคิดอย่างอิสระ ด้วยโยนิโสมนสิการ ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ และทำให้ปัญญาเจริญยิ่งขึ้น จนกลายเป็นญาณทัสสนะ คือ การรู้การเห็นประจักษ์ ในที่สุด*

    ลำดับอาหารของวิชชาและวิมุตติ การเสวนาสัตบุรุษ --> การสดับเล่าเรียนสัทธรรม--> ศรัทธา--> โยนิโสมนสิการ ฯลฯ

    ...

    โดยสรุป สัมมาทิฏฐิ ก็คือความเห็นที่ตรงตามสภาวะ คือเห็นตามที่สิ่งทั้งหลายเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น

    การที่สัมมาทิฏฐิจะเจริญขึ้น ย่อมต้องอาศัยโยนิโสมนสิการเรื่อยไป เพราะโยนิโสมนสิการช่วยให้ไม่มองสิ่งต่าง ๆ อย่างผิวเผิน หรือมองเห็ฯเฉพาะผลรวมที่ปรากฏ แต่ช่วยให้มองแบบสืบค้นแยกแยะ ทั้งในแง่การวิเคราะห์ ส่วนประกอบที่มาประชุมกันเข้า และในแง่การสืบทอดแห่งเหตุปัจจัย ตลอดจนมองให้ครบทุกแง่ด้าน ที่จะให้เห็นความจริิง และถือเอาประโยชน์ได้ จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบหรือเกี่ยวข้อง

    การมองและคิดพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการ ทำให้ไม่ถูกลวง ไม่กลายเป็นหุ่นที่ถูกยั่วยุ ปลุกปั่น และเชิด ด้วยปรากฏการณ์ทางรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และคตินิยมต่าง ๆ จนเกิดเป็นปัญหาทั้งแก่ตนและผู้อื่น แต่ทำให้มีสติสัมปชัญญะ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง คิดตัดสินและกระทำการต่าง ๆ ด้วยปัญญา ซึ่งเป็นขึ้นที่สัมมาทิฏฐิส่ผลแก่องค์มรรคข้อต่อ ๆ ไป เร่ิมทำลายสังโยชน์ อันมีสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส เป็นต้น

    แหล่งข้อมูล: มี ผังความคิด ของ ภก.ประชาสรรณ์ ที่สรุป โยสิโสมนสิการ จากหนังสือคุยกันเรื่องความิคด นพ.ประเวศน์ วะสี ที่น่าสนใจตามลิ๊งค์ค่ะ http://www.prachasan.com/100maps/yonisomanasikarn.... * การรู้การเห็นประจักษ์นั้นมี ๒ ขั้น และพระพุทธศาสนายอมรับว่าทั้ง ๒ ขั้นนั้น เป็นสัจจะ คือเป็นความจริงด้วยกันทั้งนั้น แต่มีความหมายและคุณค่าทางปัญญาต่างกัน ๑.การรู้การเห็นประจักษ์ เท่าที่เป็นไปทางประสาททั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสมมติสัจจะ สำหรับการหมายรู้ร่วมกันและใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน (conventional or relative truth) ๒.การรู้การเห็นประจักษ์ ด้วยปัญญาหยั่งรู้สภาวะของสิ่งเหล่านั้นว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น เป็นปรมัตถสัจจะ สำหรับรู้เท่าทันภาวะของสิ่งทั้งหลาย มีชีวิตที่เป็นอิสระ ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องตามความหมายของมันมากที่สุด (ultimate or absolute truth) แต่ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม พุทธศาสนายอมรับความจริง เฉพาะด้วยการรู้การเห็นประจักษ์เท่านั้น
  • on-ces
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    ขออธิบายเผื่อผู้à¹��ม่ทราบนะคะ

    เมื่อพูดถึงสัมมาทิฎฐิมีหลายมุมมอง ในมุมของมโนสุจริต อันเป็นความเห็นถูก 10 ข้อ

    เช่น เห็นว่าการให้ทานมีผลจริง การบวงสรวงมีผลจริง ... ข้อสุดท้ายคือ สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุมรรคผลนิพพาน รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้รู้ตามด้วยมีจริง

    หรือหมายถึง ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 ที่กำลังถามกันอยู่นี้ค่ะ

    ตัวอย่างพระสูตรที่พระสารีบุตรแสดงแก่เหล่าภิกษุต่อหน้าพระพักตร์

    ซึ่งพระสารีบุตรกล่าวว่าด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอถึงจะเรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิ

    (คือทำอย่างไรจะชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ)

    ...ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดซึ่ง อกุศลและรากเหง้าอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเหง้าของกุศล แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่า เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้วประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม…

    ตัวที่รู้นี้นอกจากุศลและอกุศลก็ยังมีข้ออื่นอีก(อ่านเต็มในลิงค์ 1) ซึ่งรวมอยู่ในหมวดสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง

    หรือในพระสูตรกัจจานโคตรสูตร

    ...พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือความมี ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี

    โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบาย อุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบาย และอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละเมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้น มีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แลกัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ … ดูฉบับเต็มในลิงค์ 2

    สัมมาทิฎฐิแบบพระอรหันต์จึงไม่กลับกลอกอีก

    เพราะเต็มบริบูรณ์ด้วยปัญญาและสติสมาธิขณะเกิดอริยมรรค

    สัมมาทิฎฐินั้นอาจกล่าวถึงในหลายพระสูตร หลายบทหลายตอน

    เพราะสมัยก่อนนั้นมีความเชื่อกันอย่างมากมายแม้พรามหมณ์ด้วยกันเอง

    เช่น โลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง กรรมมีจริงหรือไม่ ฯลฯ

    จึงพากันสงสัยและข้องติดด้วยความเห็นต่างๆ

    พระพุทธฯจึงนำมาตรัสในรูปของพระสูตรที่พลิกแพลง

    บางตอนกล่าวกับผู้เริ่มทำทานถือศีลก็ยกสัมมาทิฎฐิ 10 ให้เขาเริ่มด้วยกุศลก่อน

    บางตอนตรัสกับผู้แสวงหานิพพานก็ตรัสในแนวที่ปฏิบัติตรงและถูกกับจริตผู้ฟัง

    บางตอนตรัสเป็นหนทางเบื้องต้นเพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน

    หรือบางตอนก็เป็นผลแห่งการปฏิบัติ

    ธรรมะนั้นดิ้นได้หลายทาง คำศัพท์สักแต่ว่าเป็นบัญญัตที่พาให้คนเข้าถึงธรรม

    โดยรวมความคือรู้รูปนามอย่างมีสติสัมปชัญญะ

    แล้วถึงพร้อมด้วยมรรคมีองค์แปด ก็เป็นเหตุให้เกิดสัมมาทิฏฐิค่ะ

    ผิดพลาดขออภัยค่ะ

    -----------------------------------------------------------------

    ขอบคุณป้าแซลลี่ที่แก้เรื่องโลกุตรธรรมให้นะคะ

    พระสูตรที่แปะไว้ยังไม่มีเวลาทำความเข้าใจเลย

    ไว้ตอนเย็นๆ กลับมาจากไปช่วยคนน้ำท่วมแล้วจะมาเปิดพจนานุกรมนะคะ

    ------------------------

    ตอนนี้มานั่งรออ่านเฉลยแล้วค่ะ ^_^

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    คิดว่า ปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะทำให้มนุษย์เกิด "สัมมาทิฏฐิ" หรือ การคิดดี การคิดชอบ" ก็คือ "ความตั้งใจ" และ"ความตั้งมั่น" นะคะ

    คืออย่างเช่น วันหนึ่ง คนเรามีความตั้งใจว่า วันนี้จะไม่คิดอยากมี อยากได้ในสิ่งที่ไม่เป็นของเรา หรือไม่มีความจำเป็น วันนั้นๆ แม้เพื่อนๆ จะชวนเราไปเดินห้างใหญ่โต มีสิ่งของล่อตา ล่อใจมากมาย แถมยังมีการลดราคาเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงโปรโมชั่น เพื่อนๆ ก็ซื้อกันใหญ่ และหันมาชวนเราซื้ออีกด้วย แต่เนื่องจากเราได้มีการตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ช่วงนี้เราจะประหยัด ไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นเป็นอันขาด เราก็อาจจะตอบเพื่อนๆ ไปว่า บังเอิญที่บ้านมีใช้อยู่แล้ว วันนี้ไม่อยากซื้อเพิ่ม เพราะอันเก่าก็ยังใช้ได้ดีมากอยู่

    ทั้งนี้ ก็ด้วยเหตุจากการที่เรามีการตั้งมั่น หรือยึดมั่น ถือมั่นในการปฏิบัติในสิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นะคะ

  • ?
    Lv 5
    10 ปี ที่ผ่านมา

    สัมมาทิฏฐิเนี่ยมันเปรียบได้เท่ากับความเอาใจใส่ของมนุษย์เรา หากเราปฏิบัติอย่างรับผิดชอบและต่อเนื่องเราก็จะพัฒนาความสามารขึ้นได้ ใรมรรคค์มีองค์ 8 มิได้ประกอบขึ้นเฉพาะสัมมาทิฏฐิเท่านั้น แต่แต่ละส่วนย่อมสัมพันธ์กัน แต่ที่สำคัญคือจะต้องมีปัญญาเป็นตัวกำกับ ดังนั้นพื้นฐานของปัญญาคืออไร? ดิฉันขอตอบตามความเข้าใจของตนเองว่า ที่มีคนพูดว่าปัญญานั้นไม่ได้เกิดจากศิล ดิฉันเห็นว่าไม่เป็นความจริง เพราะศิล และสมาธิ เป็นทางทำให้เกิดสติและปัญญา ศาสนาพุทธเน้นการปฏิบัติมิได้เน้นความเชื่อเพราะฉนั้น จะต้องปฏิบัติก่อนจึงจะเห็นดังเช่นกงล้อที่หมุน เหมือนเช่นพลังงาน ===>พลังงานจล===>พลังงานกล==>พลังงานศักดิ์

    สรุปคือ เชื่อ ===>ศรัทธา ===> ศิล===> สมาธิ ===> สติ ===>ปัญญา

  • 10 ปี ที่ผ่านมา

    มีความเชื่อ อย่างมั่นคง จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทำทุกสิ่งสำเร้จค่ะ

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    10 ปี ที่ผ่านมา

    ไม่ทราบ

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    10 ปี ที่ผ่านมา
ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้