Yahoo Answers จะปิดใช้งานในวันที่ 4 พฤษภาคม 2021 (เวลาตะวันออก) และตอนนี้เว็บไซต์ Yahoo Answers จะอยู่ในโหมดอ่านอย่างเดียว คุณสมบัติหรือบริการอื่นๆ ของ Yahoo หรือบัญชี Yahoo ของคุณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปิดใช้งาน Yahoo Answers และวิธีการดาวน์โหลดข้อมูลของคุณในหน้าความช่วยเหลือนี้

จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นดีแล้ว จิตหลุดพ้นได้(ด้วย)ดี?

คำสุดท้าย บางที่เขียน "จิตหลุดพ้นได้ดี" บางที่เขียน "จิตหลุดพ้นด้วยดี"

ขอถามว่า 3 คำนี้

- มีความหมายอย่างไร

-ปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิด

-เมื่อเกิดแล้ว มีผลเป็นอย่างไร

อัปเดต:

คำว่า “จิตหลุดพ้น” นี้ ผู้ที่ฝึกอานาปานสติทั้ง ๑๖ ขั้นอยู่เสมอ คงคุ้นเคยดี เพราะมีอยู่ในขั้นต่างๆของการฝึกด้วย

จิตหลุดพ้นแล้ว

คือ จิตหลุดพ้นแล้วจากธรรมที่นำไปสู่ตัณหา นั่นคือ หลุดพ้นจากเวทนาที่นำไปสู่ตัณหา จากอารมณ์ที่นำไปสู่เวทนา เป็นต้น เกิดจากการปฏิบัติที่ต่อเนื่องมาจากฐานเวทนาคือ หลังจากที่นำเวทนาทั้งภายใน(ที่เคยเกิดขึ้นกับตน) และภายนอก (ที่เกิดกับผู้อื่น) ขึ้นมาดู แล���ระงับเวทนานั้นแล้ว (ในขั้นที่ ๔ ของฐานเวทนา หรือ ขั้นที่ ๘ ของทั้งหมด) จึงตามดูธรรมต่างๆที่ประกอบอยู่กับจิตจนทำให้เกิดเวทนาอันนำไปสู่ตัณหานั้น แล้วปลดเปลื้องธรรมนั้นๆออกจากจิต (๑)

เมื่อนำเวทนาคือปีติ เพราะการได้รับคำสรรเสริญขึ้นมาพิจารณา จึงรู้ว่า เวทนานั้น เกิดจากการได้ยินเสียงสรรเสริญ หรือ ได้เห็นบทความสรรเสริญการทำความดีของตน เมื่อรับรู้การสรรเสริญแล้ว ตนก็เกิดปีติขึ้น หากตนหลงใหลไปกับปีตินั้น ก็จะนำไปสู่การยึดมั่นในความดี คือ ยึดมั่นว่าความดีที่ตนทำเป็นของตน ตนทำ ต้องได้รับการตอบแทน อย่างน้อยก็ในรูปของการสรรเสริญ หากต่อไปไม่มีใครสรรเสริญ ก็จะทุกข์เพราะการทำความดี และท้อ ไม่อยากทำความดีต่อไป อันเป็นการสันโดษในกุ

อัปเดต 2:

กุศลธรรมได้ แต่หากไม่หลง ก็จะนำไปสู่การปล่อยวาง การอยู่อย่างเป็นสุขในปัจจุบัน

จึงเปลื้องธรรมนั้นออกจากจิต เมื่อจิตหลุดพ้นจากธรรมนั้นแล้ว ก็รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ทำให้ต่อไป เมื่อมีอารมณ์ในลักษณะเดิมมากระทบก็ไม่หวั่นไหวไปตาม ไม่นำไปสู่ทุกข์ และไม่มีความจำเป็นที่ต้องนำอารมณ์นั้นขึ้นมาพิจารณาอีกต่อไป เพราะจิตได้หลุดพ้นจากธรรมนั้นไปแล้ว

เป็นการดับทุกข์ที่ตัณหา อันเป็%

อัปเดต 3:

เป็นการดับทุกข์ที่ตัณหา อันเป็นการดับที่กลางสายของปฏิจจสมุปบาท

จึงเย็นอยู่ได้ในปัจจุบัน(๒)

อัปเดต 4:

จิตหลุดพ้นดีแล้ว

คือการที่จิตสิ้นความเพลินในสฬายตนะ (๓) หลุดพ้นจากความยึดถือมั่นในอายตนะทั้งภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต้องกาย และ ธรรมารมณ์) เกิดจากการฝึกอานาปานสติจนถึงฐานธรรม ในขั้นที่ 14 ของการฝึกทั้งหมดขึ้นไป

ในฐานธรรม มีการตามเห็นความไม่เที่ยง เพราะเห็นความไม่เที่ยง จึงไม่ยึดถือ เช่น เห็นความไม่เที่ยงของเสียงสรรเสริญ (อายตนะภายนอก ) ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ หากต่อไป เราทำอะไรที่ทำให้ผู้ที่เคยสรรเสริญเราไม่ชอบใจ เห็นความไม่เที่ยงของหู ( อายตนะภายใน) ที่อาจได้ยินทั้งสิ่งที่นำไปสู่ความชอบใจ ไม่ชอบใจ เห็นความไม่เที่ยงแม้ในสัญญา เป็นต้น

อัปเดต 5:

จึงเบื่อหน่ายในธรรมต่างๆเหล่านั้น เมื่อเบื่อหน่าย ก็คลายกำหนัด หมดความเพลิดเพลิน จึงหลุดพ้นจากความยึดถือมั่น หรือ อุปาทาน ธรรมต่างๆเช่น กิเลส อาหาร อายตนะ เป็นต้น จึงดับ

และเพราะอายตนะดับ จึงเท่ากับนำไปสู่การดับของ นามรูป วิญญาณ สังขาร และ อวิชชา ตามลำดับ

จึงเป็นการดับปฏิจจสมุปบาทจากปลายสายไปหาต้นสาย (๔)

อัปเดต 6:

จิตหลุดพ้นได้ดี

คือ การที่จิตหลุดพ้นจากกิเลส คือ ราคะ โทสะ และ โมหะ ทั้งมวล (๕) เกิดจากการฝึกอานาปานสติจนเห็นการดับอยู่เสมอ จนในที่สุด ก็เห็นการดับของธรรมทั้งมวล

จึงปรินิพพานในปัจจุบัน รอเวลาอยู่

อัปเดต 7:

************************

อ้างอิง

(๑)

[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ ****"จิตหลุดพ้น"**** ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ...."

ที.มหา.(แปล) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔-๓๑๕

อัปเดต 8:

(๒)

[๖๔] เทวดาทูลถามว่า

โลกมีอะไรเป็นเครื่องประกอบไว้

อะไรเล่าเป็นเหตุเที่ยวไปของโลกนั้น

เพราะละอะไรได้เล่า พระองค์จึงตรัสว่านิพพาน

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้

วิตกเป็นเหตุเที่ยวไปของโลกนั้น

เพราะละตัณหาได้ เราจึงกล่าวว่า นิพพาน

สํ.ส.(แปล) ๑๕/๖๔/๗๔

อัปเดต 9:

(๓)

[๑๕๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นจักษุอันไม่เที่ยงนั่นแลว่า ‘ไม่เที่ยง’ ความเห็นของภิกษุนั้นเป็นความสัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ) เมื่อเห็นชอบก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นทั้งความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว

ฯลฯ

ภิกษุเห็นมโนอันไม่เที่ยงนั่นแลว่า ‘ไม่เที่ยง’ ความเห็นของภิกษุนั้นเป็นความสัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ) เมื่อเห็นชอบก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นทั้งความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว

สํ.สฬา.(แปล) ๑๘/๑๕๖/๑๙๓

อัปเดต 10:

(๔)

“ เพราะฉะนั้น “ดับแห่งความหมาย” นี้ เรียกว่าดับแห่งสมรรถภาพในหน้าที่ของมัน มันไม่มีสมรรถภาพ ที่จะทำหน้าที่อีกต่อไป ขันธ์จะไม่ทำหน้าที่ของขันธ์ อายตนะจะไม่ทำหน้าที่ของอายตนะ หน้าที่นี้ หมายถึงหน้าที่ที่ทำให้เกิดกิเลส มันจะหมดสมรรถภาพในการทำหน้าที่ที่ให้เกิดกิเลส ปฏิจจสมุปบาทก็ก่อขึ้นไม่ได้ มันไม่มีสมรรถภาพที่จะก่อขึ้นเป็นรูปของปฏิจจสมุปบาท มันเป็นความดับแห่งอาการของปฏิจจสมุปบาท”

พุทธทาสภิกขุ อานาปานสติสมบูรณ์แบบ หน้า ๑๘๙

อัปเดต 11:

(๕)

“ ภิกษุเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นได้ดี เป็นอย่างไร

คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นจากราคะ มีจิตหลุดพ้นจากโทสะ มีจิตหลุดพ้นจากโมหะ ภิกษุเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นได้ดี เป็นอย่างนี้แล

ภิกษุเป็นผู้มีปัญญาหลุดพ้นได้ดี เป็นอย่างไร

คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้รู้ชัดว่า ‘ ราคะ เราละได้เด็ดขาด ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มีเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ’ รู้ชัดว่า ‘ โทสะ เราละได้เด็ดขาด ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มีเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ’ รู้ชัดว่า ‘ โมหะ เราละได้เด็ดขาด ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มีเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ’ ภิกษุเป็นผู้มีปัญญาหลุดพ้นได้ดี เป็นอย่างนี้แล ”

ที.ปา.(แปล) ๑๑/๓๔๘/๓๖๕

อัปเดต 12:

(๖)

“รูปที่พึงรู้แจ้งทางตาอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัดมีอยุ่ ถ้าภิกษ��ไม่เพลิดเพลิน ไม่เชยชม ไม่ยึดติดรูปนั้นอยู่ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่เชยชม ไม่ยึดติดรูปนั้นอยู่ วิญญาณที่อาศัยตัณหานั้นก็ไม่มี ความยึดมั่นตัณหานั้นก็ไม่มี ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน ฯลฯ

......

ท่านจอมเทพ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน”

สํ. สฬา. (แปล) ๑๘/๑๑๘/๑๓๙-๑๔๐

8 คำตอบ

คะแนนความนิยม
  • 9 ปี ที่ผ่านมา
    คำตอบที่โปรดปราน

    ภิกษุ ท.! ภิกษุเห็น รูปทั้งหลาย ซึ่งไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง,

    ทิฏฐิของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ. เมื่อเห็นอยู่ด้วยสัมมาทิฏฐิ ย่อมเบื่อหน่าย ;

    เพราะความสิ้นนันทิ ย่อมมีความสิ้นราคะ ; เพราะความสิ้นราคะ ย่อมมีความ

    สิ้นนันทิ; เพราะความสิ้นนันทิและราคะ ก็กล่าวไว้ว่า จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี

    ดังนี้.(๑)

    ....................................................................................................

    สมฺมา ปสฺสํ นิพฺพินฺทติ

    เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย

    นนฺทิกฺขยา ราคกฺขโย

    เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ

    ราคกฺขยา นนฺทิกฺขโย

    เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ

    นนฺทิราคกฺขยา จิตฺตํ สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจตีติ

    เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ

    กล่าวได้ว่า “จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี” ดังนี้.(๒)

    ......................................................

    นันทิ แปลว่า ความเพลิน หรือความพอใจ

    นันทิใดในเวทนาทั้งหลาย นั่นคืออุปาทาน เราพอใจสิ่งใด หมายความว่า เรายึดถือสิ่งนั้นเข้าแล้ว เพราะฉะนั้น นันทินั้นเองคืออุปาทาน (โอสาเรตัพพธรรม หน้า ๓๗๒)

    .........................................................................

    ผู้รู้ท่านว่าไว้เช่นนั้น

    ส่วนดิฉันเอง ขอตอบตามความไม่รู้

    ความหมาย

    หลุดพ้น คือสภาวะที่ไม่ติด ไม่ข้อง เป็นอิสระจากสิ่งใด ๆ

    จิต ปุถุชนทั้งหลาย มักต��ดข้อง ยึดมั่นอยู่กับความมีตัวมีตน อันเป็นเหตุของการติดข้องของทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในชีวิต พูดง่าย ๆ เริ่มต้นไม่ถูก ที่ตามมาที่เหลือ พลอยล้มระเนระนาด

    ที่ว่าเร่ิมต้นไม่ถูก คือ ขาดความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) จึงมิได้มองสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะชีวิต ตามความเป็นจริง แต่มองจากการปรุงแต่ง ที่สะสมเรียนรู้มาทีละเล็กละน้อยตั้งแต่แรกเกิด เห็นว่านี่คือตัวฉัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นของฉัน ตาของฉัน หูของฉัน จมูกของฉัน ลิ้นของฉัน กายของฉัน ใจของฉัน เห็นอะไร ก็ปรุงแต่งไปตามความรู้ความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงกลาง ๆ

    จึงติด ติด และติด อยู่กับความเห็นผิดพลาดเหล่านั้น ทุกเมื่อเชื่อวัน

    ดังนั้น ความหมายของสภาวะที่จิตหลุดพ้น ก็คือสภาวะที่ตรงกันข้ามกับความติดข้องดังกล่าว

    จิตเป็นอิสระ มีสัมมาทิฏฐิ เข้าใจถ่องแท้ใน ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ และแนวทางปฏิบัติให้ล่วงถึงความดับทุกข์ ความเห็นถูกต้องดังกล่าว คือปัจจัยแห่งการหลุดพ้น

    ปฏิบัติอย่างไร ตามหลักการ คือ การมองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง

    สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่จากพื้นฐานของคนโลก ๆ ทำยากเอาการ

    ต้องพากเพียร ฝึกฝน ด้วยวิธีที่เหมาะกับจริตตนเอง เพื่อสร้างสติ

    เพราะสติก็คือแสงนำทาง

    การดำเนินชีวิตในโลก เปรียบกับการเดินฝ่าความมืด ในกรณีที่เรายังเป็นคนของโลก คลุกเคล้าด้วยมิจฉาทิฏฐิ ชีวิตขับเคลื่อนด้วยกิเลสตัณหาเป็นปรกติ

    การกลับเข้ามาศึกษาตัวเอง จะด้วยวิธีการใดก็ตาม จะเป็นเหตุให้ชีวิตมีทิศทาง ไม่สะเปะสะปะ

    การภาวนาสร้างสติให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ย่อมนำเรามุ่งสู่ทางหลุดพ้น

    เมื่อหลุดพ้นแล้ว ผลคือ จิตย่อมเป็นกลาง

    ดังที่อ.สุภีร์ ทุมทอง ได้บรรยายไว้ว่า

    "ผู้ที่มีจิตเป็นกลางอย่างสมบูรณ์ที่สุดก็คือพระอรหันต์ ท่านเรียกว่า ฉฆังคุเบกขา มีอุเบกขาในอารมณ์ที่รับรู้ทางทวารทั้ง ๖ อารมณ์มาปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ท่านก็ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่เกิดความยินดียินร้าย ท่านมีปัญญา ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ๆ ในโลกแล้ว"

    เช่นนี้ คือผลจากสภาวะหลุดพ้นแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว หลุดพ้นได้ด้วยดีแล้ว

  • ?
    Lv 6
    9 ปี ที่ผ่านมา

    ตอบว่า จริงหรือ??

    หาต่อนะ

    เมื่อคุณกดส่งคำตอบ

    คุณใช้นิ้วไหนกดครับ ???

  • 9 ปี ที่ผ่านมา

    3 วลีที่ว่านี้ขอเปรียบเทียบว่าเป็นอันเดียวกัน

    - เปรียบเสมือนไข่ที่แม่ไก่ตกไข่ออกมาแล้ว

    - ปฏิบัติอย่างไร คิดว่าผู้ถามมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากกว่าผู้ตอบด้วยซ้ำ

    - ไม่มีผล เพราะที่สุดของการหลุดพ้น ไม่มีอะไรจะเกิดจะดับอีกแล้ว

  • 9 ปี ที่ผ่านมา

    ครึ ครึ ครึ

    ในพุทธศาสตร์เถรวาท สอนให้เรารู้ว่า กระบวนการรับรู้โลกภายนอก หรือประสบการณ์ทางโลกที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มักถูกปรุงแต่งด้วย"สัญญาซ้อนเสริม"(ฮา) ทั้งที่ถูกต้องตามความจริงที่เรียกว่า"ปปัญจสัญญา" ซึ่งปปัญจสัญญาดังกล่าวนี้(ทึกทักว่า..หลุดพ้นแล้ว ได้ดี ด้วยดี ฯลฯ) เป็นสัญญาวิปลาส(ความคิดที่ผิดเพี้ยน) และทิฏฐิวิปลาส(ความเห็นหรือความเชื่อที่ผิดเพี้ยน) (องฺ.จตุกฺก.21/49/79)

    การรับรู้ที่ถูกต้องที่เป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนาจึงเป็นการรับรู้สิ่งต่างๆตามที่สิ่งเหล่านั้นเป็นจริง(หลุดพ้นแล้ว ได้ดี ด้วยดี ฯลฯ) คือ การมองเห็นความเป็นจริงตามที่มันเป็นจริงๆ ซึ่งพระพุทธศาสนาเรียกว่า"ยถาภูตญาณทัศนะ"ซึ่งบุคคลที่จะเห็นอย่างมียถาภูตญาณทัศนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ(หลุดพ้นแล้ว ได้ดี ด้วยดี ฯลฯ) ก็คือพระอรหันต์นั่นเอง(ฮา)

    จากที่กล่าวมา ความจริง(หลุดพ้นแล้ว ได้ดี ด้วยดี ฯลฯ)ที่มนุษย์เข้าใจเป็นความจริงที่อยู่ภายใต้การปรุงแต่งของความคิด หรือจิตของมนุษย์ทั้งนั้น(ฮา) ดังนั้น ความจริงแท้หรือความจริงของธรรมชาติตามที่มันเป็นจร��¸´à¸‡à¹†(หลุดพ้นแล้ว ได้ดี ด้วยดี ฯลฯ) จึงอยู่เหนือภาษา หรือบัญญัติที่มนุษย์สร้างขึ้นมาในการสื่อสาร(ฮา)

    ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงแท้(หลุดพ้นแล้ว ได้ดี ด้วยดี ฯลฯ) ยังอยู่เกินวิสัยของตรรกวิทยา(การคิดตามหลักเหตุผล) เพราะตรรกวิทยายังต้องอาศัยภาษา(ฮา) และความคิดของมนุษย์ ทำให้ไม่สามารถไปเกินเลยประสบการณ์(หลุดพ้นแล้ว ได้ดี ด้วยดี ฯลฯ) ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของความคิด และภาษา(แง่ม แง่ม แง่ม..นี่ก็ภาษา ฮา..)

    ครึ ครึ ครึ สรุป ก็คือ มันเป็นสภาวะวิสัย ต้องทำเอง และรู้เองได้เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถอรรถาธิบายถึงความหมายได้(ฮา)

    จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิด ก็ยึดตามแนวทางที่มีผู้กรุยทางให้แล้วหลายทางด้วยกันตามสติ และวิสัยที่มีอยู่(อานาปาณสติ สติปัฏฐาน 4 เป็นต้น) เวทิตัพโพ วิญญูหิติฯ

    เมื่อเกิดแล้ว ผลเป็นอย่างไร ก็ฮา..ซิครับ เพราะยังไม่ได้เป็นอรหันต์นิ จาไปรู้ฤา(ฮา)

    แหล่งข้อมูล: รศ.ดร.วัชระ งามวิจิตรเจริญ ; สมการความว่าง
  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    9 ปี ที่ผ่านมา

    งงเด้อค่ะ คริสตอบตามความเข้าใจนะคะ จิตหลุดพ้นคือไม่มีพันธะทางกิเลสตัณหาอุปาทาน จะพ้นได้ด้วยดีหรือดีแล้วมันก็คือการสำเร็จเช่นกันค่ะ

  • 9 ปี ที่ผ่านมา

    คนเขียน เข้าใจ หรือว่า เขียนเพราะคิดว่าเข้าใจ น๊อ

    ไม่รุ้สึกถึง กิเลสแล้วหรือยังน๊อ รู้สึกถึงกิเลสหรือยังน๊อ กายหลีกออกจากกาม หรือยังน๊อ เข้าๆ ออก จากสิ่งที่เข้าใจได้ยังน๊อ

    ทำสมาธิ นิ่งสงบ ไม่ห่วงไม่วิตกไม่วิจารณ์ เอาแค่นี้ก่อนน๊อ

    ทำได้ก็ อิ่มปิติใจ ตลอดมั้งน๊อ

  • ไม่ประสงค์ออกนาม
    9 ปี ที่ผ่านมา

    ขอให้คุณเจริญในธรรม.....สาธุ....

  • 9 ปี ที่ผ่านมา

    ขอบคุณค่ะ

ยังคงมีคำถามอยู่ใช่หรือไม่ หาคำตอบของคุณได้ด้วยการเริ่มถามเลยในตอนนี้